Trello: เครื่องมือจัดการงานแบบ Kanban ฟรีสำหรับธุรกิจเริ่มต้น

Trello

Trello — Photo by Fauxels on Pexels

Trello: เครื่องมือจัดการงานแบบ Kanban ฟรีสำหรับธุรกิจเริ่มต้น

จัดระเบียบงาน ติดตามความคืบหน้า และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยบอร์ด Kanban ที่ใช้งานง่าย


1. ทำความเข้าใจ Trello

Trello คืออะไร?

  • นิยาม: เครื่องมือจัดการงานและโปรเจกต์แบบ Kanban ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้คุณจัดระเบียบงานในรูปแบบบอร์ดที่มองเห็นได้ชัดเจน
  • ความสามารถหลัก:
    • จัดการงานด้วยบอร์ด ลิสต์ และการ์ด
    • ติดตามความคืบหน้าของงานด้วยการลากและวาง
    • ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
    • ปรับแต่งด้วยฉลาก สี และรายละเอียดต่างๆ
    • เชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นๆ
  • ข้อดี: มีแพ็กเกจฟรีที่ครอบคลุมความต้องการพื้นฐาน ใช้งานง่าย และเรียนรู้ได้รวดเร็ว

ทำไมต้องใช้ Trello?

  • ความเรียบง่าย: อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เรียนรู้ได้ภายในไม่กี่นาที
  • การมองเห็น: เห็นภาพรวมของงานทั้งหมดในบอร์ดเดียว
  • ความยืดหยุ่น: ปรับใช้ได้กับหลากหลายประเภทงานและโปรเจกต์
  • ทำงานร่วมกัน: หลายคนสามารถทำงานบนบอร์ดเดียวกันได้พร้อมกัน
  • ประหยัด: เริ่มต้นใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องลงทุนในซอฟต์แวร์ราคาแพง
  • เข้าถึงได้ทุกที่: ใช้งานได้ทั้งบนเว็บและแอปพลิเคชันมือถือ

2. เปรียบเทียบ Trello กับเครื่องมืออื่น

Trello vs Asana

คุณสมบัติ Trello Asana
ราคาเริ่มต้น ฟรี ฟรี (มีข้อจำกัด)
มุมมองการทำงาน เน้น Kanban หลากหลาย
ความซับซ้อน ต่ำ (ใช้งานง่าย) ปานกลาง
การจัดการงานย่อย มีจำกัดในแพ็กเกจฟรี มีในแพ็กเกจฟรี
การทำงานร่วมกัน ไม่จำกัดในแพ็กเกจฟรี จำกัด 15 คนในแพ็กเกจฟรี
Automations จำกัดในแพ็กเกจฟรี จำกัดในแพ็กเกจฟรี
จำนวนบอร์ด 10 บอร์ด (ฟรี) ไม่จำกัด

Trello vs Notion

คุณสมบัติ Trello Notion
ราคาเริ่มต้น ฟรี (มีข้อจำกัด) ฟรี
มุมมองการทำงาน เน้น Kanban หลากหลาย
ฐานข้อมูล
เอกสารและวิกิ จำกัด
การทำงานร่วมกัน
Automations จำกัดในแพ็กเกจฟรี จำกัดในแพ็กเกจฟรี
จำนวนบอร์ด 10 บอร์ด (ฟรี) ไม่จำกัด

Trello vs Airtable

คุณสมบัติ Trello Airtable
ความสามารถฐานข้อมูล ต่ำ สูง
การจัดการโปรเจกต์ แคนบัน มีมุมมองหลายแบบ
ความยืดหยุ่น จำกัด สูงมาก
ราคาเริ่มต้น ฟรี ฟรี (มีข้อจำกัด)
Automations จำกัดในแพ็กเกจฟรี มี (ในแผนฟรี)
Custom fields จำกัด ไม่จำกัด

3. ฟีเจอร์ฟรีของ Trello

ข้อมูลแพ็กเกจฟรี

  • จำนวนบอร์ด: 10 บอร์ด
  • จำนวนสมาชิก: ไม่จำกัด
  • จำนวนการ์ด: ไม่จำกัด
  • จำนวนลิสต์: ไม่จำกัด
  • ขนาดไฟล์แนบ: สูงสุด 10MB ต่อไฟล์
  • Power-Ups: 1 Power-Up ต่อบอร์ด
  • Automations: 250 การทำงานอัตโนมัติต่อเดือน

องค์ประกอบพื้นฐานของ Trello

  • บอร์ด (Boards):

    • พื้นที่ทำงานหลักสำหรับโปรเจกต์หรือหัวข้อ
    • ปรับแต่งพื้นหลังและการตั้งค่าได้
    • แชร์กับสมาชิกในทีมได้
  • ลิสต์ (Lists):

    • คอลัมน์ที่แบ่งงานตามสถานะหรือหมวดหมู่
    • เช่น “ต้องทำ”, “กำลังทำ”, “เสร็จแล้ว”
    • สามารถเพิ่ม ลบ หรือจัดลำดับใหม่ได้
  • การ์ด (Cards):

    • งานหรือรายการย่อยในแต่ละลิสต์
    • เพิ่มรายละเอียด ความคิดเห็น และไฟล์แนบได้
    • ลากและวางระหว่างลิสต์เพื่ออัพเดทสถานะ

ฟีเจอร์การทำงานร่วมกัน

  • การเชิญสมาชิก:

    • เชิญสมาชิกเข้าร่วมบอร์ดได้ไม่จำกัด
    • กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงได้ (Admin, Normal, Observer)
    • แชร์บอร์ดกับทั้งทีมหรือเฉพาะบุคคล
  • การแจ้งเตือน:

    • รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในการ์ดที่ติดตาม
    • แจ้งเตือนผ่านอีเมล แอป หรือเว็บไซต์
    • ปรับแต่งการตั้งค่าการแจ้งเตือนได้
  • การแสดงความคิดเห็น:

    • แสดงความคิดเห็นในการ์ด
    • แท็กสมาชิกด้วย @ เพื่อดึงความสนใจ
    • แนบไฟล์หรือลิงก์ในความคิดเห็น

Power-Ups ฟรีที่น่าสนใจ

  • Calendar: แสดงการ์ดในรูปแบบปฏิทิน
  • Card Aging: การ์ดจะดูเก่าลงเมื่อไม่มีการอัพเดท
  • Voting: ให้สมาชิกโหวตการ์ดที่สำคัญ
  • Custom Fields: เพิ่มฟิลด์กำหนดเองในการ์ด
  • Map: แสดงตำแหน่งที่ตั้งบนแผนที่
  • GitHub: เชื่อมต่อกับ GitHub repositories
  • Google Drive: แนบไฟล์จาก Google Drive

4. การเริ่มต้นใช้งาน Trello

ขั้นตอนการสร้างบัญชีและบอร์ดแรก

  1. สร้างบัญชี Trello

    • ไปที่ trello.com และคลิก “Sign up”
    • กรอกอีเมลและรหัสผ่าน หรือลงทะเบียนผ่าน Google, Microsoft, Apple, หรือ Slack
    • ยืนยันอีเมลของคุณ
  2. สร้างบอร์ดแรก

    • คลิก “Create new board” บนหน้าแรก
    • ตั้งชื่อบอร์ดให้สื่อความหมาย
    • เลือกพื้นหลังหรือสีที่ต้องการ
    • เลือกความเป็นส่วนตัว (Private, Workspace, Public)
  3. ตั้งค่าลิสต์เริ่มต้น

    • สร้างลิสต์พื้นฐาน เช่น “To Do”, “Doing”, “Done”
    • หรือเลือกใช้เทมเพลตที่มีให้
    • คลิก “Add another list” เพื่อเพิ่มลิสต์ใหม่
  4. เพิ่มการ์ดแรก

    • คลิก “Add a card” ด้านล่างของลิสต์
    • พิมพ์ชื่อการ์ดและกด Enter
    • คลิกที่การ์ดเพื่อเพิ่มรายละเอียด คำอธิบาย หรือไฟล์แนบ
  5. เชิญสมาชิกทีม

    • คลิก “Share” ที่มุมขวาบน
    • ป้อนอีเมลของสมาชิกที่ต้องการเชิญ
    • หรือคัดลอกลิงก์เชิญและส่งให้ทีม

การใช้งานเทมเพลต

Trello มีเทมเพลตมากมายที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว:

  1. เทมเพลตยอดนิยมสำหรับธุรกิจเริ่มต้น:

    • Simple Project Board: บอร์ดโปรเจกต์พื้นฐาน
    • Kanban Template: การจัดการงานแบบ Kanban มาตรฐาน
    • Remote Team Hub: สำหรับทีมที่ทำงานระยะไกล
    • Content Calendar: วางแผนและจัดการคอนเทนต์
    • Product Roadmap: วางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์
  2. วิธีใช้เทมเพลต:

    • คลิก “Create new board” บนหน้าแรก
    • เลือก “Start with a template”
    • เลือกหมวดหมู่และเทมเพลตที่ต้องการ
    • ปรับแต่งตามความต้องการของคุณ
  3. การปรับแต่งเทมเพลต:

    • แก้ไขชื่อลิสต์และการ์ดให้ตรงกับความต้องการ
    • เพิ่มหรือลบลิสต์ตามความเหมาะสม
    • ปรับแต่งฉลากและสีให้เข้ากับโปรเจกต์ของคุณ
    • เพิ่ม Power-Up ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน

5. การใช้งานฟีเจอร์หลักของ Trello

การจัดการการ์ด

  1. การสร้างและแก้ไขการ์ด:

    • คลิก “Add a card” ด้านล่างของลิสต์
    • คลิกที่การ์ดเพื่อเปิดและแก้ไขรายละเอียด
    • เพิ่มคำอธิบาย ความคิดเห็น และไฟล์แนบ
    • ปิดการ์ดโดยคลิกที่พื้นที่ว่างหรือกด Esc
  2. การเพิ่มรายละเอียดในการ์ด:

    • คำอธิบาย: เพิ่มรายละเอียดของงาน
    • Checklist: สร้างรายการย่อยที่ต้องทำ
    • วันครบกำหนด: กำหนดวันที่ต้องเสร็จ
    • ฉลาก: เพิ่มฉลากสีเพื่อจัดหมวดหมู่
    • สมาชิก: มอบหมายงานให้สมาชิกในทีม
    • ไฟล์แนบ: แนบไฟล์หรือลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
  3. การใช้ Checklist:

    • คลิก “Checklist” ในการ์ด
    • ตั้งชื่อ Checklist และเพิ่มรายการ
    • ทำเครื่องหมายเมื่อเสร็จแต่ละรายการ
    • ติดตามความคืบหน้าด้วยแถบความคืบหน้า

การจัดการลิสต์และบอร์ด

  1. การจัดการลิสต์:

    • เพิ่มลิสต์ใหม่โดยคลิก “Add another list”
    • เปลี่ยนชื่อลิสต์โดยคลิกที่ชื่อ
    • ย้ายลิสต์โดยลากและวาง
    • จัดเก็บลิสต์โดยคลิก “…” > “Archive this list”
  2. การปรับแต่งบอร์ด:

    • เปลี่ยนพื้นหลังโดยคลิก “Show menu” > “Change background”
    • จัดการสมาชิกโดยคลิก “Share”
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนโดยคลิก “Show menu” > “Settings”
    • สร้างฉลากใหม่โดยคลิก “Show menu” > “Labels”
  3. การใช้ฟิลเตอร์และการค้นหา:

    • คลิก “Filter” เพื่อกรองการ์ดตามฉลาก สมาชิก หรือวันครบกำหนด
    • ใช้ช่องค้นหาเพื่อค้นหาการ์ดที่ต้องการ
    • บันทึกฟิลเตอร์ที่ใช้บ่อยเพื่อใช้ซ้ำ

การใช้ Power-Ups

  1. การเพิ่ม Power-Up:

    • คลิก “Power-Ups” ที่เมนูด้านขวา
    • เลือก Power-Up ที่ต้องการจากรายการ
    • คลิก “Add” เพื่อเพิ่มเข้าบอร์ด
    • ตั้งค่าตามคำแนะนำ
  2. Power-Ups ยอดนิยม:

    • Calendar: ดูการ์ดในรูปแบบปฏิทิน
    • Card Repeater: สร้างการ์ดซ้ำตามกำหนดเวลา
    • Custom Fields: เพิ่มฟิลด์กำหนดเองในการ์ด
    • Card Aging: การ์ดจะดูเก่าลงเมื่อไม่มีการอัพเดท
    • Voting: ให้สมาชิกโหวตการ์ดที่สำคัญ
  3. ข้อจำกัดในแพ็กเกจฟรี:

    • ใช้ได้ 1 Power-Up ต่อบอร์ด
    • เลือก Power-Up ที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับบอร์ดนั้นๆ
    • พิจารณาใช้ Power-Up ที่แตกต่างกันในแต่ละบอร์ด

6. การใช้ Automations ในแพ็กเกจฟรี

การตั้งค่า Automations พื้นฐาน

  1. เข้าถึง Automations:

    • คลิก “Automation” ที่เมนูด้านขวา
    • หรือคลิก “Rules” ใต้ชื่อบอร์ด
    • เลือก “Create rule” เพื่อสร้างกฎใหม่
  2. องค์ประกอบของ Automation:

    • Trigger: เหตุการณ์ที่ทำให้ Automation ทำงาน
    • Condition: เงื่อนไขเพิ่มเติม (ถ้ามี)
    • Action: การกระทำที่จะเกิดขึ้นเมื่อ Trigger ทำงาน
  3. ข้อจำกัดในแพ็กเกจฟรี:

    • 250 การทำงานอัตโนมัติต่อเดือน
    • ใช้ได้กับทุกบอร์ดในบัญชี
    • ติดตามการใช้งานได้ในส่วน “Usage” ของ Automation

ตัวอย่าง Automations ที่มีประโยชน์

  1. การแจ้งเตือนวันครบกำหนด:

    • Trigger: เมื่อวันครบกำหนดใกล้เข้ามา
    • Action: ส่งการแจ้งเตือนให้สมาชิกที่รับผิดชอบ
    • ประโยชน์: ป้องกันการลืมงานสำคัญ
  2. การย้ายการ์ดอัตโนมัติ:

    • Trigger: เมื่อ Checklist เสร็จสมบูรณ์
    • Action: ย้ายการ์ดไปยังลิสต์ “Done”
    • ประโยชน์: อัพเดทสถานะงานโดยอัตโนมัติ
  3. การมอบหมายงานอัตโนมัติ:

    • Trigger: เมื่อมีการเพิ่มการ์ดในลิสต์ที่กำหนด
    • Action: มอบหมายให้สมาชิกที่ระบุไว้
    • ประโยชน์: กระจายงานอย่างสม่ำเสมอ
  4. การเพิ่มฉลากอัตโนมัติ:

    • Trigger: เมื่อมีคำสำคัญในชื่อการ์ด
    • Action: เพิ่มฉลากที่เกี่ยวข้อง
    • ประโยชน์: จัดหมวดหมู่งานโดยอัตโนมัติ

การใช้ Butler Commands

  1. Butler คืออะไร:

    • เครื่องมือ Automation ในตัวของ Trello
    • ใช้คำสั่งเพื่อสร้าง Automation แบบกำหนดเอง
    • ทำงานได้ทั้งระดับการ์ด ลิสต์ และบอร์ด
  2. ตัวอย่าง Butler Commands:

    • เมื่อย้ายการ์ดไปยังลิสต์ “Done” ให้เพิ่มฉลาก “Completed” และกำหนดวันที่เสร็จ
    • ทุกวันจันทร์ สร้างการ์ด “Weekly Meeting” ในลิสต์ “To Do”
    • เมื่อเพิ่มฉลาก “Urgent” ให้กำหนดวันครบกำหนดเป็นพรุ่งนี้
  3. การสร้าง Butler Command:

    • คลิก “Automation” > “Create button”
    • เลือกเงื่อนไขและการกระทำ
    • บันทึกและใช้งาน

7. การใช้ Trello สำหรับธุรกิจเริ่มต้น

การจัดการโปรเจกต์

  1. การสร้างโครงสร้างบอร์ดโปรเจกต์:

    • ลิสต์ “Backlog”: งานที่รอดำเนินการ
    • ลิสต์ “To Do”: งานที่ต้องทำในรอบปัจจุบัน
    • ลิสต์ “In Progress”: งานที่กำลังดำเนินการ
    • ลิสต์ “Review”: งานที่รอตรวจสอบ
    • ลิสต์ “Done”: งานที่เสร็จสมบูรณ์
  2. การติดตามความคืบหน้า:

    • ใช้ Checklist เพื่อแบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อย
    • กำหนดวันครบกำหนดและติดตามด้วยปฏิทิน
    • ใช้ฉลากเพื่อระบุความสำคัญหรือหมวดหมู่
    • มอบหมายงานให้สมาชิกในทีม
  3. การจัดการทรัพยากร:

    • ใช้ฉลากเพื่อระบุทรัพยากรที่ต้องใช้
    • แนบไฟล์หรือลิงก์ที่จำเป็นในการ์ด
    • ใช้ Custom Fields (ถ้ามี Power-Up) เพื่อติดตามงบประมาณหรือเวลา

การวางแผนการตลาดและคอนเทนต์

  1. การสร้างปฏิทินคอนเทนต์:

    • ใช้ลิสต์แยกตามเดือนหรือสัปดาห์
    • สร้างการ์ดสำหรับแต่ละชิ้นคอนเทนต์
    • ใช้ฉลากเพื่อแยกประเภทคอนเทนต์ (บล็อก, โซเชียลมีเดีย, อีเมล)
    • ใช้ Power-Up Calendar เพื่อดูในรูปแบบปฏิทิน
  2. การติดตามแคมเปญการตลาด:

    • สร้างลิสต์ตามขั้นตอนของแคมเปญ (วางแผน, ผลิต, เผยแพร่, วัดผล)
    • ใช้ Checklist เพื่อติดตามงานย่อยในแต่ละแคมเปญ
    • แนบไฟล์สื่อและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
    • ติดตามผลลัพธ์ด้วย Custom Fields หรือความคิดเห็น
  3. การจัดการโซเชียลมีเดีย:

    • สร้างลิสต์แยกตามแพลตฟอร์ม (Facebook, Instagram, Twitter)
    • ใช้ฉลากสีเพื่อระบุสถานะ (ร่าง, อนุมัติแล้ว, โพสต์แล้ว)
    • กำหนดวันและเวลาโพสต์ด้วยวันครบกำหนด
    • แนบรูปภาพหรือลิงก์ที่จะใช้โพสต์

การจัดการลูกค้าและการขาย

  1. การสร้าง CRM อย่างง่าย:

    • ลิสต์ตามขั้นตอนการขาย (Lead, Contact, Negotiation, Closed)
    • สร้างการ์ดสำหรับแต่ละลูกค้าหรือโอกาสการขาย
    • ใช้ Checklist เพื่อติดตามขั้นตอนการติดต่อ
    • ใช้ Custom Fields (ถ้ามี) เพื่อบันทึกมูลค่าการขาย
  2. การติดตามคำสั่งซื้อ:

    • ลิสต์ตามสถานะคำสั่งซื้อ (รับออร์เดอร์, ชำระเงิน, จัดส่ง, เสร็จสมบูรณ์)
    • ใช้ฉลากเพื่อระบุความเร่งด่วนหรือประเภทสินค้า
    • แนบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบสั่งซื้อหรือใบเสร็จ
    • ใช้ความคิดเห็นเพื่อบันทึกการสื่อสารกับลูกค้า
  3. การจัดการข้อเสนอและใบเสนอราคา:

    • สร้างลิสต์ตามสถานะ (ร่าง, ส่งแล้ว, ตอบรับ, ปฏิเสธ)
    • แนบไฟล์ข้อเสนอหรือใบเสนอราคา
    • กำหนดวันหมดอายุด้วยวันครบกำหนด
    • ติดตามการติดต่อกลับด้วย Checklist

8. การทำงานร่วมกันใน Trello

การแชร์และการจัดการสิทธิ์

  1. ระดับการแชร์:

    • Private: เฉพาะคุณและผู้ที่คุณเชิญเท่านั้น
    • Workspace Visible: สมาชิกใน Workspace สามารถเห็นได้
    • Public: ทุกคนที่มีลิงก์สามารถเข้าถึงได้
  2. ระดับสิทธิ์:

    • Admin: จัดการได้ทุกอย่าง รวมถึงการตั้งค่าและลบบอร์ด
    • Normal: แก้ไขการ์ด ลิสต์ และความคิดเห็นได้
    • Observer: ดูได้อย่างเดียว ไม่สามารถแก้ไข
  3. วิธีแชร์บอร์ด:

    • คลิก “Share” ที่มุมขวาบน
    • ป้อนอีเมลของผู้ที่ต้องการแชร์
    • เลือกระดับสิทธิ์
    • หรือคัดลอกลิงก์และส่งให้ผู้อื่น

การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์

  1. การแก้ไขพร้อมกัน:

    • หลายคนสามารถทำงานบนบอร์ดเดียวกันได้พร้อมกัน
    • เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์
    • เห็นว่าใครกำลังดูการ์ดไหนอยู่
  2. การแสดงความคิดเห็น:

    • คลิกที่การ์ดและเพิ่มความคิดเห็นในส่วน “Activity”
    • แท็กสมาชิกด้วย @ เพื่อแจ้งเตือน
    • แนบไฟล์หรือลิงก์ในความคิดเห็น
  3. การติดตามการ์ด:

    • คลิก “Watch” ในการ์ดเพื่อรับการแจ้งเตือนทุกการเปลี่ยนแปลง
    • หรือเป็นสมาชิกในการ์ดโดยอัตโนมัติเมื่อถูกมอบหมาย
    • ปรับการตั้งค่าการแจ้งเตือนในโปรไฟล์

การสื่อสารในทีม

  1. การใช้การ์ดเป็นศูนย์กลางการสนทนา:

    • รวมการสนทนาเกี่ยวกับงานไว้ในการ์ด
    • แนบเอกสารและลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
    • บันทึกการตัดสินใจและเหตุผล
  2. การใช้ฉลากเพื่อสื่อสารสถานะ:

    • สร้างฉลากสีที่มีความหมายชัดเจน
    • เช่น “รอการตรวจสอบ”, “มีปัญหา”, “สำคัญ”
    • ทำให้ทุกคนเข้าใจสถานะงานได้ทันที
  3. การสร้างการ์ดสำหรับการประชุม:

    • สร้างการ์ดสำหรับการประชุมแต่ละครั้ง
    • ใช้ Checklist เป็นวาระการประชุม
    • บันทึกการตัดสินใจและงานที่ต้องทำต่อในความคิดเห็น

9. เทคนิคการใช้ Trello ขั้นสูง

การใช้ฉลากอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. ระบบฉลากที่มีประสิทธิภาพ:

    • ใช้สีที่มีความหมายชัดเจน (เช่น แดง = เร่งด่วน, เขียว = เสร็จแล้ว)
    • ตั้งชื่อฉลากให้สั้นและเข้าใจง่าย
    • จำกัดจำนวนฉลากให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น
  2. ประเภทของฉลาก:

    • ความสำคัญ: สูง, กลาง, ต่ำ
    • สถานะ: รอดำเนินการ, มีปัญหา, เสร็จแล้ว
    • ประเภท: การตลาด, การพัฒนา, การขาย
    • ความพยายาม: ง่าย, ปานกลาง, ยาก
  3. การค้นหาด้วยฉลาก:

    • ใช้ฟิลเตอร์เพื่อแสดงเฉพาะการ์ดที่มีฉลากที่ต้องการ
    • ค้นหาการ์ดที่มีหลายฉลากพร้อมกัน
    • สร้างมุมมองที่กรองตามฉลากและบันทึกไว้

การใช้ Checklist อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การสร้าง Checklist ที่มีประสิทธิภาพ:

    • แบ่งงานใหญ่เป็นขั้นตอนย่อยที่ชัดเจน
    • เรียงลำดับตามขั้นตอนการทำงาน
    • ใช้ภาษาที่กระชับและเข้าใจง่าย
  2. เทคนิคการใช้ Checklist:

    • ใช้หลาย Checklist เพื่อแยกหมวดหมู่งานย่อย
    • คัดลอก Checklist จากการ์ดอื่นเพื่อใช้ซ้ำ
    • แปลง Checklist items เป็นการ์ดใหม่เมื่อต้องการรายละเอียดมากขึ้น
  3. การติดตามความคืบหน้า:

    • ดูเปอร์เซ็นต์ความคืบหน้าของ Checklist
    • ใช้ Automation เพื่อย้ายการ์ดเมื่อ Checklist เสร็จสมบูรณ์
    • ซ่อน Checklist items ที่เสร็จแล้วเพื่อลดความรกรุงรัง

การใช้ Keyboard Shortcuts

  1. Shortcuts พื้นฐาน:

    • ? : แสดงรายการ shortcuts ทั้งหมด
    • n : สร้างการ์ดใหม่
    • e : เปิดการแก้ไขการ์ดที่เลือก
    • c : เพิ่มสมาชิกในการ์ด
    • d : กำหนดวันครบกำหนด
  2. Shortcuts สำหรับการจัดการการ์ด:

    • t : แก้ไขชื่อการ์ด
    • l : เพิ่มฉลาก
    • m : เพิ่ม/ลบตัวเองเป็นสมาชิกในการ์ด
    • space : เพิ่ม/ลบตัวเองเป็นสมาชิกในการ์ดที่เลือก
    • a : เปิด/ปิดการ์ดที่เลือก
  3. Shortcuts สำหรับการนำทาง:

    • ←↑→↓ : เลื่อนระหว่างการ์ด
    • b : เปิดเมนูพื้นหลัง
    • f : เปิดการค้นหา
    • x : เปิด/ปิดฟิลเตอร์
    • / : ลำดับการ์ดตามฉลาก

10. การเชื่อมต่อ Trello กับเครื่องมืออื่น

การใช้ Trello กับ Google Workspace

  1. การเชื่อมต่อกับ Google Drive:

    • เพิ่ม Power-Up Google Drive
    • แนบไฟล์จาก Google Drive ในการ์ด
    • สร้างไฟล์ Google Docs, Sheets, หรือ Slides ใหม่จากการ์ด
    • ดูและแก้ไขไฟล์โดยตรงจาก Trello
  2. การเชื่อมต่อกับ Google Calendar:

    • เพิ่ม Power-Up Calendar
    • ซิงค์วันครบกำหนดกับ Google Calendar
    • ดูกำหนดการในรูปแบบปฏิทิน
    • รับการแจ้งเตือนจาก Google Calendar
  3. การเชื่อมต่อกับ Gmail:

    • ใช้ Add-on Trello ใน Gmail
    • สร้างการ์ดจากอีเมล
    • แนบอีเมลในการ์ด
    • ติดตามการสื่อสารกับลูกค้าหรือทีม

การใช้ Trello กับ Zapier

  1. การตั้งค่าการเชื่อมต่อ:

    • สร้างบัญชี Zapier และเชื่อมต่อกับ Trello
    • เลือก Trigger จาก Trello หรือแอปอื่น
    • เลือก Action ที่ต้องการให้เกิดขึ้น
  2. ตัวอย่าง Zaps ที่มีประโยชน์:

    • เมื่อมีการกรอกฟอร์ม Google Forms → สร้างการ์ดใน Trello
    • เมื่อมีอีเมลใหม่ที่มีคำสำคัญ → สร้างการ์ดใน Trello
    • เมื่อมีการสร้างการ์ดใหม่ใน Trello → แจ้งเตือนใน Slack
    • เมื่อย้ายการ์ดไปยังลิสต์ “Done” → เพิ่มข้อมูลใน Google Sheets
  3. ข้อจำกัดในแผนฟรีของ Zapier:

    • 100 Tasks ต่อเดือน
    • 5 Zaps ที่ทำงานพร้อมกัน
    • การอัพเดททุก 15 นาที (ไม่ใช่แบบเรียลไทม์)

การใช้ Trello API

  1. ความสามารถของ API:

    • ดึงข้อมูลจาก Trello
    • สร้างและอัพเดทการ์ด บอร์ด และลิสต์
    • สร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อน
    • เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ของธุรกิจ
  2. ตัวอย่างการใช้งาน API:

    • สร้างแดชบอร์ดแสดงข้อมูลจาก Trello
    • อัพเดท Trello จากระบบ CRM หรือ ERP
    • สร้างรายงานประจำวันหรือประจำสัปดาห์
    • สร้างระบบแจ้งเตือนที่กำหนดเอง
  3. ทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา:


11. กรณีศึกษา: การใช้งานจริงของ Startup

กรณีศึกษา 1: ธุรกิจ E-commerce ขนาดเล็ก

  • ความท้าทาย: ร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กต้องการระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้าที่ประหยัดและใช้งานง่าย
  • การใช้ Trello:
    • สร้างบอร์ดสำหรับติดตามคำสั่งซื้อ แยกตามสถานะ
    • ใช้ฉลากเพื่อระบุช่องทางการสั่งซื้อและวิธีการชำระเงิน
    • ใช้ Checklist เพื่อติดตามขั้นตอนการจัดส่ง
    • ใช้ Power-Up Calendar เพื่อติดตามกำหนดส่ง
  • ผลลัพธ์:
    • ลดความผิดพลาดในการจัดการคำสั่งซื้อลง 60%
    • ประหยัดเวลาในการติดตามสถานะคำสั่งซื้อ
    • ปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายจัดส่ง

กรณีศึกษา 2: ฟรีแลนซ์นักออกแบบ

  • ความท้าทาย: นักออกแบบฟรีแลนซ์ต้องการระบบจัดการโปรเจกต์และลูกค้าที่ไม่ซับซ้อน
  • การใช้ Trello:
    • สร้างบอร์ดสำหรับแต่ละลูกค้าหรือโปรเจกต์ใหญ่
    • ใช้ลิสต์เพื่อติดตามขั้นตอนการทำงาน (Brief, Design, Feedback, Revisions, Complete)
    • ใช้ Checklist เพื่อติดตามความต้องการของลูกค้า
    • แนบไฟล์งานออกแบบและความคิดเห็นจากลูกค้า
  • ผลลัพธ์:
    • จัดการโปรเจกต์หลายโปรเจกต์พร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ลดการสื่อสารที่ผิดพลาดกับลูกค้า
    • มีประวัติการทำงานและความคิดเห็นที่ชัดเจน

กรณีศึกษา 3: สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์

  • ความท้าทาย: ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดเล็กต้องการระบบจัดการงานที่ยืดหยุ่นและไม่ซับซ้อน
  • การใช้ Trello:
    • ใช้บอร์ดแบบ Kanban สำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์
    • สร้างลิสต์ตามขั้นตอนการพัฒนา (Backlog, To Do, In Development, Testing, Done)
    • ใช้ฉลากเพื่อระบุประเภทงาน (Feature, Bug, Improvement)
    • ใช้ Power-Up GitHub เพื่อเชื่อมโยงกับโค้ด
  • ผลลัพธ์:
    • เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการพัฒนา
    • ลดเวลาในการประชุมติดตามความคืบหน้า
    • ปรับปรุงการวางแผนและการจัดลำดับความสำคัญของงาน

12. ข้อจำกัดของแพ็กเกจฟรีและการอัพเกรด

ข้อจำกัดของแพ็กเกจฟรี

  1. ข้อจำกัดด้านบอร์ด:

    • จำกัด 10 บอร์ดต่อ Workspace
    • ไม่จำกัดจำนวนลิสต์และการ์ด
    • ไม่จำกัดจำนวนสมาชิก
  2. ข้อจำกัดด้านฟีเจอร์:

    • 1 Power-Up ต่อบอร์ด
    • 250 การทำงานอัตโนมัติต่อเดือน
    • ไม่มี Advanced Checklists
    • ไม่มี Board Collections
    • ไม่มี Dashboard views
  3. ข้อจำกัดด้านไฟล์:

    • ขนาดไฟล์แนบสูงสุด 10MB
    • ไม่มีการเชื่อมต่อกับ cloud storage แบบขั้นสูง

เมื่อไรควรพิจารณาอัพเกรด

  1. สัญญาณที่ควรอัพเกรด:

    • จำนวนบอร์ดใกล้ถึงขีดจำกัด 10 บอร์ด
    • ต้องการใช้มากกว่า 1 Power-Up ต่อบอร์ด
    • ต้องการ Automations มากกว่า 250 ครั้งต่อเดือน
    • ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น Dashboard views หรือ Advanced Checklists
  2. แผนที่มีให้เลือก:

    • Standard: $5/เดือน/ผู้ใช้ (เรียกเก็บรายปี)
    • Premium: $10/เดือน/ผู้ใช้ (เรียกเก็บรายปี)
    • Enterprise: $17.50/เดือน/ผู้ใช้ (เรียกเก็บรายปี)
  3. ฟีเจอร์ที่ได้เพิ่มเมื่ออัพเกรด:

    • บอร์ดไม่จำกัด
    • Power-Ups ไม่จำกัด
    • Automations เพิ่มขึ้น (1,000 - ไม่จำกัด)
    • Advanced Checklists
    • Dashboard views
    • Templates ขั้นสูง
    • การควบคุมการเข้าถึงที่ละเอียดขึ้น

ทางเลือกอื่นเมื่อเติบโตขึ้น

  1. ยังคงใช้ Trello แต่ปรับกลยุทธ์:

    • ลบบอร์ดที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
    • รวมบอร์ดที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน
    • ใช้ Power-Up ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
    • จัดลำดับความสำคัญของ Automations
  2. ทางเลือกอื่นๆ:

    • Notion: ฟีเจอร์ที่หลากหลายกว่า รวมถึงฐานข้อมูลและเอกสาร
    • Asana: การจัดการโปรเจกต์ที่ซับซ้อนขึ้น
    • ClickUp: ฟีเจอร์ครบครันสำหรับการจัดการโปรเจกต์
    • Jira: สำหรับทีมพัฒนาซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ
  3. การโยกย้ายข้อมูล:

    • ส่งออกข้อมูลจาก Trello เป็น JSON
    • ใช้เครื่องมือการโยกย้ายที่มีให้ในแพลตฟอร์มปลายทาง
    • หรือใช้บริการเช่น Unito หรือ Zapier เพื่อซิงค์ข้อมูล

13. เทคนิคการใช้ Trello อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดระเบียบบอร์ด

  1. โครงสร้างบอร์ดที่มีประสิทธิภาพ:

    • ตั้งชื่อลิสต์ให้ชัดเจนและสอดคล้องกัน
    • จัดลำดับลิสต์ตามขั้นตอนการทำงาน (จากซ้ายไปขวา)
    • จำกัดจำนวนการ์ดในแต่ละลิสต์เพื่อป้องกันความแออัด
    • ใช้ลิสต์ “Archive” แทนการลบการ์ดที่เสร็จแล้ว
  2. การจัดการการ์ดจำนวนมาก:

    • ใช้ฉลากเพื่อจัดหมวดหมู่และกรองการ์ด
    • ใช้ฟิลเตอร์เพื่อแสดงเฉพาะการ์ดที่เกี่ยวข้อง
    • จัดเก็บการ์ดที่เสร็จแล้วเป็นประจำ
    • ใช้การค้นหาเพื่อหาการ์ดที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
  3. การใช้ Templates การ์ด:

    • สร้าง Templates สำหรับการ์ดที่ใช้บ่อย
    • รวม Checklists และรายละเอียดมาตรฐาน
    • ประหยัดเวลาในการสร้างการ์ดใหม่
    • รักษาความสอดคล้องของข้อมูล

การจัดการเวลาและการติดตาม

  1. การใช้วันครบกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ:

    • กำหนดวันครบกำหนดที่เป็นจริงและชัดเจน
    • ตั้งการแจ้งเตือนล่วงหน้า
    • ใช้ Power-Up Calendar เพื่อดูภาพรวมของกำหนดการ
    • ติดตามการ์ดที่เลยกำหนดด้วยฟิลเตอร์
  2. การติดตามเวลาที่ใช้:

    • ใช้ Power-Up Time Tracking (ถ้ามี)
    • หรือบันทึกเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดในความคิดเห็น
    • วิเคราะห์เวลาที่ใช้เพื่อปรับปรุงการประมาณการในอนาคต
  3. การจัดลำดับความสำคัญ:

    • ใช้ฉลากเพื่อระบุความสำคัญ (สูง, กลาง, ต่ำ)
    • จัดลำดับการ์ดในลิสต์ตามความสำคัญ
    • ใช้ฟิลเตอร์เพื่อแสดงเฉพาะงานสำคัญ
    • ทบทวนและปรับลำดับความสำคัญเป็นประจำ

การใช้ Trello บนมือถือ

  1. ประโยชน์ของแอป Trello บนมือถือ:

    • ติดตามงานได้ทุกที่ทุกเวลา
    • รับการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
    • เพิ่มการ์ดและความคิดเห็นได้อย่างรวดเร็ว
    • ถ่ายรูปและแนบไฟล์โดยตรงจากมือถือ
  2. เทคนิคการใช้งานบนมือถือ:

    • ใช้ widget บนหน้าจอหลักเพื่อเข้าถึงบอร์ดที่ใช้บ่อย
    • ใช้การแจ้งเตือนแบบ push เฉพาะที่สำคัญ
    • ดาวน์โหลดบอร์ดสำหรับใช้งานออฟไลน์
    • ใช้การสั่งงานด้วยเสียง (ในบางอุปกรณ์)
  3. การซิงค์ระหว่างอุปกรณ์:

    • ข้อมูลซิงค์อัตโนมัติระหว่างเว็บและมือถือ
    • ทำงานบนอุปกรณ์ใดก็ได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล
    • ใช้การแจ้งเตือนบนมือถือเมื่อไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์

14. กรณีศึกษา: การแก้ปัญหาทั่วไปด้วย Trello

การแก้ปัญหาการสื่อสารในทีม

  1. ปัญหา: ข้อมูลกระจัดกระจาย การสื่อสารไม่ชัดเจน

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • สร้างบอร์ด “Team Communication Hub”
      • ใช้ลิสต์แยกตามหัวข้อหรือโปรเจกต์
      • รวมข้อมูลสำคัญและการตัดสินใจไว้ในการ์ด
      • ใช้ความคิดเห็นเพื่อติดตามการสนทนา
  2. ปัญหา: ไม่รู้ว่าใครทำอะไรอยู่

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • มอบหมายสมาชิกให้กับทุกการ์ด
      • ใช้ฉลากเพื่อระบุสถานะงาน
      • สร้างลิสต์ “This Week” เพื่อแสดงงานปัจจุบัน
      • ใช้ Power-Up Calendar เพื่อดูภาพรวมของงาน
  3. ปัญหา: การประชุมไม่มีประสิทธิภาพ

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • สร้างบอร์ดสำหรับการประชุม
      • ใช้ลิสต์ “Agenda” สำหรับหัวข้อที่จะพูดถึง
      • ใช้ลิสต์ “Action Items” สำหรับงานที่ต้องทำต่อ
      • บันทึกการตัดสินใจและความคิดเห็นในการ์ด

การแก้ปัญหาการจัดการเวลา

  1. ปัญหา: งานเลยกำหนดส่งบ่อย

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • กำหนดวันครบกำหนดที่ชัดเจนสำหรับทุกการ์ด
      • ตั้งการแจ้งเตือนล่วงหน้า
      • ใช้ Automation เพื่อแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงกำหนด
      • ใช้ฉลากสีแดงสำหรับงานที่มีความเสี่ยงจะเลยกำหนด
  2. ปัญหา: การจัดลำดับความสำคัญของงาน

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • ใช้ฉลากเพื่อระบุความสำคัญ (สูง, กลาง, ต่ำ)
      • จัดลำดับการ์ดในลิสต์ตามความสำคัญ
      • สร้างลิสต์ “Priority This Week” สำหรับงานสำคัญ
      • ทบทวนและปรับลำดับความสำคัญทุกสัปดาห์
  3. ปัญหา: การทำหลายงานพร้อมกันมากเกินไป

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • จำกัดจำนวนการ์ดในลิสต์ “Doing” (เช่น ไม่เกิน 3 การ์ด)
      • ใช้ฉลาก “Waiting” สำหรับงานที่รอปัจจัยภายนอก
      • เน้นการทำงานให้เสร็จก่อนเริ่มงานใหม่
      • ใช้ Automation เพื่อแจ้งเตือนเมื่อมีการ์ดใน “Doing” มากเกินไป

การแก้ปัญหาการติดตามความคืบหน้า

  1. ปัญหา: ไม่เห็นภาพรวมของความคืบหน้า

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • ใช้ Checklist เพื่อแสดงความคืบหน้าเป็นเปอร์เซ็นต์
      • สร้างลิสต์ตามขั้นตอนการทำงาน (0%, 25%, 50%, 75%, 100%)
      • ใช้ฉลากสีเพื่อแสดงสถานะ (เขียว = ตามกำหนด, เหลือง = มีความเสี่ยง, แดง = ล่าช้า)
  2. ปัญหา: รายงานความคืบหน้าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • แชร์บอร์ดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโหมด Observer
      • สร้างลิสต์ “Weekly Progress” สำหรับสรุปความคืบหน้า
      • ใช้ความคิดเห็นเพื่อบันทึกการอัพเดทประจำสัปดาห์
      • ใช้ Power-Up Calendar เพื่อแสดงไทม์ไลน์ของโปรเจกต์
  3. ปัญหา: ไม่รู้ว่างานติดขัดที่ไหน

    • วิธีแก้ด้วย Trello:
      • สร้างลิสต์ “Blockers” สำหรับงานที่มีปัญหา
      • ใช้ฉลาก “Help Needed” เพื่อระบุว่าต้องการความช่วยเหลือ
      • บันทึกปัญหาและอุปสรรคในคำอธิบายการ์ด
      • มอบหมายผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา

15. สรุป: ทำไม Trello ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น

  1. ความเรียบง่ายและใช้งานง่าย
    เรียนรู้ได้ภายในไม่กี่นาที ไม่ต้องมีทักษะทางเทคนิค ทำให้ทุกคนในทีมสามารถใช้งานได้ทันที

  2. ประหยัดต้นทุน
    เริ่มต้นใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องลงทุนในซอฟต์แวร์ราคาแพง เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด

  3. ความยืดหยุ่น
    ปรับใช้ได้กับหลากหลายประเภทงานและโปรเจกต์ ตั้งแต่การจัดการงานส่วนตัวไปจนถึงการบริหารทีม

  4. การมองเห็นและความโปร่งใส
    เห็นภาพรวมของงานทั้งหมดในบอร์ดเดียว ทำให้ทุกคนรู้ว่าใครทำอะไรอยู่และงานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

  5. การทำงานร่วมกัน
    ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ช่วยปรับปรุงการสื่อสารและประสิทธิภาพ

“Trello เป็นเครื่องมือที่ลงตัวสำหรับธุรกิจเริ่มต้นที่ต้องการระบบจัดการงานที่ใช้งานง่าย มีประสิทธิภาพ และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเรียนรู้เครื่องมือที่ซับซ้อน ด้วยอินเทอร์เฟซแบบลากและวางที่เข้าใจง่าย Trello ช่วยให้ทีมสามารถเริ่มต้นทำงานได้ทันทีและมุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญ: การทำให้งานเสร็จและธุรกิจเติบโต”


16. แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม

เอกสารและบทความ:

คอมมูนิตี้:

เทมเพลตและทรัพยากร:

เคล็ดลับ: Trello มีการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ติดตาม Trello Blog และ Twitter เพื่อไม่พลาดฟีเจอร์ล่าสุดที่อาจช่วยให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น