Google Workspace: ชุดเครื่องมือสำนักงานออนไลน์ครบวงจรสำหรับธุรกิจเริ่มต้น

Google Workspace

Google Workspace — Photo by Cottonbro Studio on Pexels

Google Workspace: ชุดเครื่องมือสำนักงานออนไลน์ครบวงจรสำหรับธุรกิจเริ่มต้น

ทำงานร่วมกัน สื่อสาร และจัดการเอกสารได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์มคลาวด์ชั้นนำ


1. ทำความเข้าใจ Google Workspace

Google Workspace คืออะไร?

  • นิยาม: ชุดเครื่องมือสำนักงานและผลิตภาพบนคลาวด์ที่พัฒนาโดย Google (เดิมรู้จักในชื่อ G Suite)
  • ความสามารถหลัก:
    • อีเมลธุรกิจด้วยโดเมนของคุณเอง (Gmail)
    • เอกสาร สเปรดชีต และงานนำเสนอออนไลน์ (Docs, Sheets, Slides)
    • พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Drive)
    • การประชุมวิดีโอและการแชท (Meet, Chat)
    • ปฏิทินและการจองทรัพยากร (Calendar)
  • ข้อดี: ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และมีแผนฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว

ทำไมต้องใช้ Google Workspace?

  • การทำงานร่วมกัน: หลายคนสามารถทำงานบนเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน
  • การเข้าถึง: ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต
  • ความน่าเชื่อถือ: อีเมลธุรกิจด้วยโดเมนของคุณเอง ([email protected])
  • ความปลอดภัย: การป้องกันมัลแวร์และสแปม การยืนยันตัวตนสองชั้น
  • การบูรณาการ: เครื่องมือทั้งหมดทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ
  • ประหยัด: ไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ราคาแพง

2. เปรียบเทียบ Google Workspace กับเครื่องมืออื่น

Google Workspace vs Microsoft 365

คุณสมบัติ Google Workspace Microsoft 365
ราคาเริ่มต้น $6/ผู้ใช้/เดือน $6/ผู้ใช้/เดือน
แอปพลิเคชันหลัก Gmail, Docs, Sheets, Slides, Drive Outlook, Word, Excel, PowerPoint, OneDrive
การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ดีเยี่ยม ดี
การทำงานออฟไลน์ มีข้อจำกัด ดีเยี่ยม
ความคุ้นเคยของผู้ใช้ ง่ายสำหรับผู้ใช้ใหม่ คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้ Office
การประชุมวิดีโอ Google Meet (ไม่จำกัดเวลาในแผนเริ่มต้น) Microsoft Teams (60 นาทีในแผนเริ่มต้น)
พื้นที่เก็บข้อมูล 30GB - ไม่จำกัด (ตามแผน) 1TB - ไม่จำกัด (ตามแผน)

Google Workspace vs Zoho Workplace

คุณสมบัติ Google Workspace Zoho Workplace
ราคาเริ่มต้น $6/ผู้ใช้/เดือน $3/ผู้ใช้/เดือน
อีเมลธุรกิจ
พื้นที่เก็บข้อมูล 30GB - ไม่จำกัด 10GB - 1TB
แอปพลิเคชันออฟฟิศ
การประชุมวิดีโอ ✓ (100-500 คน) ✓ (จำกัด 100 คน)
การบูรณาการกับแอปอื่น มากมาย จำกัด
ความน่าเชื่อถือ สูงมาก สูง

Google Workspace vs การใช้เครื่องมือฟรีแยกกัน

คุณสมบัติ Google Workspace เครื่องมือฟรีแยกกัน
อีเมลธุรกิจ ✗ (ต้องใช้บริการอื่น)
การจัดการผู้ใช้
การสนับสนุน 24/7 จำกัดหรือไม่มี
การบูรณาการ ไร้รอยต่อ ต้องตั้งค่าเอง
ความปลอดภัย ระดับองค์กร ขึ้นอยู่กับแต่ละบริการ
ค่าใช้จ่าย มีค่าใช้จ่าย ฟรี (มีข้อจำกัด)

3. แผนและราคาของ Google Workspace

แผนธุรกิจหลัก

  1. Business Starter: $6/ผู้ใช้/เดือน

    • อีเมลธุรกิจด้วยโดเมนของคุณเอง
    • 30GB พื้นที่เก็บข้อมูลต่อผู้ใช้
    • การประชุมวิดีโอสูงสุด 100 คน
    • การควบคุมความปลอดภัยและการจัดการพื้นฐาน
    • การสนับสนุนทางอีเมลและโทรศัพท์ตลอด 24/7
  2. Business Standard: $12/ผู้ใช้/เดือน

    • ทุกอย่างใน Business Starter
    • 2TB พื้นที่เก็บข้อมูลต่อผู้ใช้
    • การประชุมวิดีโอสูงสุด 150 คน พร้อมการบันทึก
    • การสำรวจความคิดเห็นและการบันทึกการประชุม
    • การจัดเก็บข้อมูลเพื่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
  3. Business Plus: $18/ผู้ใช้/เดือน

    • ทุกอย่างใน Business Standard
    • 5TB พื้นที่เก็บข้อมูลต่อผู้ใช้
    • การประชุมวิดีโอสูงสุด 500 คน พร้อมการติดตามการเข้าร่วม
    • การยืนยันตัวตนขั้นสูงและการวิเคราะห์
    • การเก็บรักษาข้อมูลและการค้นหา eDiscovery
  4. Enterprise: ราคาตามการเจรจา

    • ทุกอย่างใน Business Plus
    • พื้นที่เก็บข้อมูลไม่จำกัด
    • การประชุมวิดีโอสูงสุด 500 คน พร้อมคุณสมบัติขั้นสูง
    • การป้องกันข้อมูลรั่วไหลขั้นสูง
    • การปฏิบัติตามกฎระเบียบและการจัดการระดับองค์กร

ทางเลือกฟรีและราคาประหยัด

  1. Google Workspace Essentials Starter: ฟรี

    • จำกัด 25 ผู้ใช้ต่อองค์กร
    • Google Drive, Docs, Sheets, Slides
    • Google Meet (จำกัด 100 คน, 60 นาที)
    • Google Chat
    • ไม่รวมอีเมลธุรกิจ
  2. Google Workspace Individual: $9.99/เดือน

    • สำหรับผู้ประกอบการเดี่ยว
    • ใช้กับอีเมล Gmail ที่มีอยู่แล้ว
    • คุณสมบัติขั้นสูงสำหรับ Calendar, Meet และ Gmail
    • ไม่รวมอีเมลธุรกิจด้วยโดเมนของคุณเอง
  3. การใช้บัญชี Google ส่วนตัวสำหรับธุรกิจขนาดเล็กมาก:

    • ฟรี แต่ใช้อีเมล @gmail.com
    • 15GB พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี
    • การทำงานร่วมกันพื้นฐาน
    • ไม่มีการจัดการผู้ใช้และการควบคุมระดับธุรกิจ

4. การเริ่มต้นใช้งาน Google Workspace

การสมัครและตั้งค่าเริ่มต้น

  1. สมัคร Google Workspace

    • ไปที่ workspace.google.com
    • คลิก “เริ่มต้นใช้งานฟรี” หรือ “ดูแผน”
    • เลือกแผนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
    • กรอกข้อมูลธุรกิจและสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบ
  2. ยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมน

    • ใช้โดเมนที่มีอยู่แล้วหรือซื้อโดเมนใหม่ผ่าน Google
    • ยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมนโดยการเพิ่มระเบียน TXT ใน DNS
    • หรือเพิ่ม meta tag ในเว็บไซต์ของคุณ
  3. ตั้งค่าผู้ใช้

    • เพิ่มผู้ใช้ในองค์กรของคุณ
    • กำหนดชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเริ่มต้น
    • กำหนดสิทธิ์และกลุ่มตามความเหมาะสม
  4. ตั้งค่าแอปพลิเคชัน

    • ตั้งค่า Gmail สำหรับโดเมนของคุณ
    • ตั้งค่าการส่งต่อและการกรองอีเมล
    • กำหนดค่าการแชร์เริ่มต้นสำหรับ Drive
    • ตั้งค่าปฏิทินและทรัพยากรที่ใช้ร่วมกัน
  5. ย้ายข้อมูลเดิม (ถ้ามี)

    • ใช้เครื่องมือการย้ายข้อมูลของ Google เพื่อนำเข้าอีเมล
    • อัปโหลดไฟล์ไปยัง Drive
    • นำเข้าผู้ติดต่อและปฏิทิน

การตั้งค่า MX Records สำหรับอีเมล

  1. เข้าถึงการตั้งค่า DNS ของโดเมน

    • เข้าสู่ระบบที่ผู้ให้บริการโดเมนของคุณ (เช่น GoDaddy, Namecheap)
    • ค้นหาส่วนการจัดการ DNS หรือ MX Records
  2. เพิ่ม MX Records ของ Google Workspace

    • เพิ่มระเบียน MX ต่อไปนี้:
      Priority: 1  Host: ASPMX.L.GOOGLE.COM
      Priority: 5  Host: ALT1.ASPMX.L.GOOGLE.COM
      Priority: 5  Host: ALT2.ASPMX.L.GOOGLE.COM
      Priority: 10 Host: ALT3.ASPMX.L.GOOGLE.COM
      Priority: 10 Host: ALT4.ASPMX.L.GOOGLE.COM
      
    • ลบระเบียน MX เดิมทั้งหมด
  3. ตรวจสอบการตั้งค่า

    • ใช้เครื่องมือตรวจสอบ MX ของ Google
    • รอการเปลี่ยนแปลง DNS (อาจใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมง)
    • ทดสอบโดยส่งอีเมลไปยังที่อยู่ใหม่ของคุณ

การติดตั้งบนอุปกรณ์ต่างๆ

  1. คอมพิวเตอร์

    • ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่ workspace.google.com
    • ติดตั้ง Drive for Desktop เพื่อซิงค์ไฟล์
    • ตั้งค่าการทำงานออฟไลน์สำหรับ Docs, Sheets, Slides
  2. อุปกรณ์มือถือ

    • ดาวน์โหลดแอป Gmail, Drive, Docs, Sheets, Slides, Meet
    • ตั้งค่าอีเมลในแอปอีเมลที่มีอยู่ผ่าน IMAP/POP
    • ซิงค์ปฏิทินและผู้ติดต่อกับอุปกรณ์
  3. การตั้งค่าในโปรแกรมอีเมลอื่น

    • Outlook:
      • เพิ่มบัญชี IMAP/POP
      • Server: imap.gmail.com (IMAP) หรือ pop.gmail.com (POP)
      • ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนและรหัสผ่านแอป
    • Apple Mail:
      • เพิ่มบัญชี Google
      • อนุญาตการเข้าถึงอีเมล ปฏิทิน และผู้ติดต่อ

5. การใช้งาน Gmail สำหรับธุรกิจ

คุณสมบัติหลักของ Gmail ธุรกิจ

  1. อีเมลธุรกิจมืออาชีพ

    • ที่อยู่อีเมลด้วยโดเมนของคุณเอง ([email protected])
    • ลายเซ็นอีเมลที่เป็นมาตรฐานสำหรับทั้งองค์กร
    • การตอบกลับอัตโนมัติและข้อความไม่อยู่ที่ออฟฟิศ
  2. การจัดการอีเมลขั้นสูง

    • การจัดหมวดหมู่อัตโนมัติ (Primary, Social, Promotions)
    • ฟิลเตอร์และป้ายกำกับที่กำหนดเอง
    • การจัดลำดับความสำคัญอัตโนมัติ
    • การเลื่อนอีเมลและการติดตาม
  3. ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    • การป้องกันสแปมและมัลแวร์ขั้นสูง
    • การเข้ารหัสอีเมลอัตโนมัติ
    • การยืนยันตัวตนสองชั้น
    • การตรวจจับฟิชชิ่งขั้นสูง

เทคนิคการใช้งาน Gmail อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การใช้ป้ายกำกับและฟิลเตอร์

    • สร้างป้ายกำกับตามโปรเจกต์หรือลูกค้า
    • ตั้งค่าฟิลเตอร์เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลโดยอัตโนมัติ
    • ใช้สีเพื่อจัดลำดับความสำคัญ
    • สร้างป้ายกำกับซ้อนกันสำหรับการจัดระเบียบที่ซับซ้อน
  2. การใช้ Inbox ขั้นสูง

    • ใช้ Snooze เพื่อเลื่อนอีเมลไปยังเวลาที่เหมาะสม
    • ใช้ Nudges เพื่อติดตามอีเมลที่ยังไม่ได้ตอบกลับ
    • ใช้ Smart Reply และ Smart Compose เพื่อตอบกลับเร็วขึ้น
    • ใช้การค้นหาขั้นสูงด้วยตัวกรองพิเศษ
  3. การจัดการกล่องจดหมายที่มีปริมาณมาก

    • ใช้มุมมองแบบแยกหมวดหมู่
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนเฉพาะอีเมลสำคัญ
    • ใช้ Priority Inbox เพื่อแสดงอีเมลสำคัญก่อน
    • กำหนดเวลาเฉพาะสำหรับตรวจสอบอีเมล

การตั้งค่าอีเมลสำหรับทีม

  1. การสร้างกลุ่มอีเมล

    • สร้างที่อยู่อีเมลสำหรับแผนกหรือทีม (sales@, support@)
    • กำหนดสมาชิกและสิทธิ์การเข้าถึง
    • ตั้งค่าการส่งต่อและการตอบกลับ
  2. การใช้กล่องจดหมายที่ใช้ร่วมกัน

    • ตั้งค่ากล่องจดหมายที่หลายคนสามารถเข้าถึงได้
    • กำหนดสิทธิ์ (อ่าน, ตอบกลับ, จัดการ)
    • ติดตามว่าใครตอบกลับอีเมลแล้ว
  3. การตั้งค่าลายเซ็นอีเมลมาตรฐาน

    • สร้างลายเซ็นที่เป็นมาตรฐานสำหรับทั้งองค์กร
    • รวมโลโก้, ข้อมูลติดต่อ, และลิงก์โซเชียลมีเดีย
    • บังคับใช้ลายเซ็นมาตรฐานผ่านการตั้งค่าผู้ดูแลระบบ

6. การใช้งาน Google Drive, Docs, Sheets และ Slides

การจัดการไฟล์และโฟลเดอร์ใน Drive

  1. โครงสร้างโฟลเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ

    • สร้างโฟลเดอร์หลักตามแผนกหรือโปรเจกต์
    • ใช้โฟลเดอร์ย่อยสำหรับหมวดหมู่ย่อย
    • ใช้สีและดาวเพื่อทำเครื่องหมายโฟลเดอร์สำคัญ
    • สร้าง Shared Drives สำหรับเอกสารที่ใช้ร่วมกันในทีม
  2. การแชร์และการกำหนดสิทธิ์

    • ระดับการเข้าถึง:
      • Viewer: ดูเท่านั้น
      • Commenter: ดูและแสดงความคิดเห็น
      • Editor: ดู แก้ไข และแสดงความคิดเห็น
      • Owner: ควบคุมทั้งหมด รวมถึงการลบและการแชร์
    • แชร์กับบุคคล กลุ่ม หรือทั้งองค์กร
    • ตั้งค่าการหมดอายุของการแชร์
  3. การซิงค์และการเข้าถึงออฟไลน์

    • ติดตั้ง Drive for Desktop เพื่อซิงค์ไฟล์กับคอมพิวเตอร์
    • เลือกไฟล์และโฟลเดอร์ที่ต้องการซิงค์
    • เปิดใช้งานการเข้าถึงออฟไลน์สำหรับไฟล์สำคัญ
    • ใช้แอป Drive บนมือถือเพื่อเข้าถึงไฟล์ทุกที่

การทำงานร่วมกันใน Docs, Sheets และ Slides

  1. การแก้ไขพร้อมกัน

    • หลายคนสามารถแก้ไขเอกสารพร้อมกันได้
    • เห็นเคอร์เซอร์และการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์
    • ใช้แชทในเอกสารเพื่อสื่อสารขณะทำงาน
    • ดูประวัติการแก้ไขและกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้า
  2. การแสดงความคิดเห็นและการมอบหมายงาน

    • เพิ่มความคิดเห็นในส่วนต่างๆ ของเอกสาร
    • แท็กผู้ใช้ด้วย @ เพื่อแจ้งเตือน
    • มอบหมายงานและติดตามการแก้ไข
    • แก้ไขและปิดความคิดเห็นเมื่อเสร็จสิ้น
  3. เทมเพลตและแม่แบบ

    • ใช้เทมเพลตที่มีอยู่สำหรับเอกสารทั่วไป
    • สร้างเทมเพลตของบริษัทสำหรับเอกสารที่ใช้บ่อย
    • บันทึกเทมเพลตใน Shared Drive เพื่อให้ทีมเข้าถึงได้
    • ใช้ Add-ons เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงาน

คุณสมบัติขั้นสูงของ Docs, Sheets และ Slides

  1. Google Docs ขั้นสูง

    • ใช้ Outline เพื่อนำทางในเอกสารยาว
    • ใช้ Styles เพื่อรักษาความสอดคล้อง
    • ใช้ Smart Chips เพื่อเชื่อมโยงกับผู้คน ไฟล์ และปฏิทิน
    • ใช้ Voice Typing และ Explore เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  2. Google Sheets ขั้นสูง

    • ใช้สูตรและฟังก์ชันขั้นสูง
    • สร้าง Pivot Tables สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล
    • ใช้ Data Validation เพื่อควบคุมการป้อนข้อมูล
    • สร้าง Charts และ Dashboards
    • ใช้ Connected Sheets เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
  3. Google Slides ขั้นสูง

    • ใช้ Master Slides เพื่อรักษาความสอดคล้อง
    • ใช้ Transitions และ Animations
    • ฝัง Videos และ Interactive elements
    • ใช้ Presenter View และ Q&A features
    • นำเสนอออนไลน์ผ่าน Google Meet

7. การใช้งาน Google Meet และ Google Chat

การจัดการประชุมวิดีโอด้วย Google Meet

  1. การสร้างและจัดการการประชุม

    • สร้างการประชุมจาก Calendar, Gmail หรือ Meet โดยตรง
    • สร้างลิงก์การประชุมถาวรสำหรับการประชุมประจำ
    • ตั้งค่าการประชุมล่วงหน้าด้วยรายละเอียดและเอกสาร
    • ควบคุมผู้เข้าร่วมและการเข้าถึง
  2. คุณสมบัติการประชุมขั้นสูง

    • การแชร์หน้าจอและการนำเสนอ
    • การบันทึกการประชุม (ในแผน Business Standard ขึ้นไป)
    • การใช้ห้องย่อย (Breakout rooms)
    • การยกมือและโพลล์
    • การเปลี่ยนพื้นหลังและการลดเสียงรบกวน
  3. เทคนิคการประชุมที่มีประสิทธิภาพ

    • ตรวจสอบอุปกรณ์และการเชื่อมต่อก่อนการประชุม
    • ใช้หูฟังเพื่อคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น
    • ปิดไมโครโฟนเมื่อไม่ได้พูด
    • ใช้การแชทสำหรับคำถามและลิงก์
    • แชร์วาระการประชุมและบันทึกการประชุม

การใช้ Google Chat สำหรับการสื่อสารในทีม

  1. การสร้างและจัดการ Spaces

    • สร้าง Spaces สำหรับทีมหรือโปรเจกต์
    • เพิ่มสมาชิกและกำหนดสิทธิ์
    • จัดระเบียบด้วย Topics ภายใน Spaces
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนตามความต้องการ
  2. การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

    • ใช้การแท็ก @ เพื่อแจ้งเตือนบุคคลหรือกลุ่ม
    • แชร์ไฟล์และลิงก์โดยตรงจาก Drive
    • ใช้ Emoji และ Reactions
    • สร้างและมอบหมายงานใน Chat
  3. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น

    • เชื่อมต่อกับ Google Drive เพื่อแชร์ไฟล์
    • สร้างและแก้ไขเอกสารโดยตรงใน Chat
    • เชื่อมต่อกับปฏิทินเพื่อจัดการการประชุม
    • ใช้ Bots และ Webhooks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

การใช้งานร่วมกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ภายนอก

  1. การเชิญบุคคลภายนอก

    • เชิญลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์เข้าร่วมการประชุม Meet
    • แชร์เอกสารโดยไม่ต้องมีบัญชี Google
    • ตั้งค่าการเข้าถึงและการอนุญาตที่เหมาะสม
  2. การรักษาความปลอดภัย

    • ใช้ห้องรอ (Waiting room) สำหรับผู้เข้าร่วมภายนอก
    • ควบคุมการแชร์หน้าจอและการบันทึก
    • ตรวจสอบและถอดถอนผู้เข้าร่วมได้ตลอดเวลา
    • ตั้งค่ารหัสผ่านสำหรับการประชุมที่มีความอ่อนไหว
  3. แนวปฏิบัติที่ดี

    • ส่งวาระการประชุมและเอกสารล่วงหน้า
    • ชี้แจงกฎและความคาดหวังในการประชุม
    • บันทึกและแชร์สรุปการประชุม
    • ติดตามผลหลังการประชุม

8. การใช้งาน Google Calendar

การจัดการปฏิทินส่วนตัวและทีม

  1. การสร้างและจัดการปฏิทินหลายปฏิทิน

    • สร้างปฏิทินแยกสำหรับงานส่วนตัว ทีม และโปรเจกต์
    • ใช้สีเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างปฏิทิน
    • ตั้งค่าการมองเห็นและการแชร์สำหรับแต่ละปฏิทิน
    • นำเข้าและส่งออกปฏิทิน
  2. การแชร์ปฏิทินและการกำหนดสิทธิ์

    • ระดับการเข้าถึง:
      • See only free/busy: เห็นเฉพาะเวลาว่าง/ไม่ว่าง
      • See all event details: เห็นรายละเอียดทั้งหมด
      • Make changes to events: แก้ไขกิจกรรมได้
      • Make changes and manage sharing: จัดการทั้งหมด
    • แชร์กับบุคคล กลุ่ม หรือทำให้เป็นสาธารณะ
  3. การดูปฏิทินหลายปฏิทินพร้อมกัน

    • ซ้อนทับปฏิทินเพื่อดูภาพรวม
    • ใช้มุมมองวัน สัปดาห์ เดือน หรือ 4 วัน
    • ซ่อนและแสดงปฏิทินตามต้องการ
    • ใช้ Side panel เพื่อดูรายละเอียดกิจกรรม

การจัดการการประชุมและกิจกรรม

  1. การสร้างและจัดการกิจกรรม

    • สร้างกิจกรรมด้วยชื่อ วันที่ เวลา และสถานที่
    • เพิ่มรายละเอียด วาระการประชุม และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
    • ตั้งค่าการเตือนล่วงหน้า
    • ตั้งค่าการเกิดซ้ำสำหรับกิจกรรมประจำ
  2. การเชิญและติดตามผู้เข้าร่วม

    • เพิ่มผู้เข้าร่วมโดยอีเมลหรือชื่อ
    • ตรวจสอบสถานะการตอบรับ (ยืนยัน, ปฏิเสธ, อาจจะ)
    • ดูเวลาว่างของผู้เข้าร่วมด้วย Find a time
    • ส่งอีเมลถึงผู้เข้าร่วมทั้งหมด
  3. การใช้ Appointment Slots

    • สร้างช่วงเวลาที่ว่างสำหรับการนัดหมาย
    • แชร์ลิงก์การจองเวลากับลูกค้าหรือทีม
    • ให้ผู้อื่นจองเวลาที่คุณว่าง
    • รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการจอง

การจัดการทรัพยากรและห้องประชุม

  1. การตั้งค่าทรัพยากรในองค์กร

    • สร้างทรัพยากรเช่นห้องประชุม, อุปกรณ์, รถยนต์
    • กำหนดความจุและสถานที่ตั้ง
    • ตั้งค่าการอนุมัติและข้อจำกัด
    • มอบหมายผู้ดูแลทรัพยากร
  2. การจองและตรวจสอบทรัพยากร

    • เพิ่มห้องหรือทรัพยากรในการสร้างกิจกรรม
    • ตรวจสอบความพร้อมใช้งานของทรัพยากร
    • ดูตารางการใช้งานทรัพยากร
    • รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการอนุมัติหรือปฏิเสธ
  3. เทคนิคการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ

    • ตั้งค่าเวลาเตรียมการระหว่างการประชุม
    • ใช้การจองซ้ำสำหรับการประชุมประจำ
    • ตั้งค่าการยกเลิกอัตโนมัติเมื่อไม่มีผู้เข้าร่วม
    • ใช้การแจ้งเตือนเพื่อป้องกันการจองซ้ำซ้อน

9. การใช้งานแอปพลิเคชันเสริมใน Google Workspace

Google Forms

  1. การสร้างและออกแบบฟอร์ม

    • สร้างแบบสอบถาม, แบบฟอร์มลงทะเบียน, แบบทดสอบ
    • เลือกจากประเภทคำถามหลากหลาย (หลายตัวเลือก, ข้อความ, สเกล)
    • ปรับแต่งธีมและการออกแบบ
    • เพิ่มภาพและวิดีโอ
  2. การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

    • ดูการตอบกลับแบบเรียลไทม์
    • วิเคราะห์ข้อมูลด้วยกราฟและแผนภูมิอัตโนมัติ
    • ส่งออกข้อมูลไปยัง Sheets สำหรับการวิเคราะห์เพิ่มเติม
    • รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับใหม่
  3. การใช้งานขั้นสูง

    • สร้างเส้นทางการตอบแบบมีเงื่อนไข
    • ตั้งค่าการตรวจสอบคำตอบและการให้คะแนนอัตโนมัติ
    • จำกัดการตอบกลับและการยืนยันตัวตน
    • ฝังฟอร์มในเว็บไซต์

Google Sites

  1. การสร้างเว็บไซต์ภายในองค์กร

    • สร้างอินทราเน็ต, ฐานความรู้, หรือเว็บไซต์โปรเจกต์
    • เลือกจากเทมเพลตที่มีให้
    • ปรับแต่งด้วยธีมและสีขององค์กร
    • ควบคุมการเข้าถึงภายในองค์กร
  2. การเพิ่มและจัดการเนื้อหา

    • เพิ่มข้อความ, รูปภาพ, และวิดีโอ
    • ฝังเอกสาร, สเปรดชีต, และงานนำเสนอ
    • สร้างเมนูและการนำทาง
    • ใช้ Layouts เพื่อจัดองค์ประกอบหน้า
  3. การเผยแพร่และแชร์

    • เผยแพร่ภายในองค์กรหรือสาธารณะ
    • แชร์กับบุคคลหรือกลุ่มเฉพาะ
    • ใช้ URL ที่กำหนดเอง
    • ติดตามการเข้าชมด้วย Google Analytics

Google Keep และ Tasks

  1. การใช้ Google Keep

    • สร้างโน้ตและรายการตรวจสอบ
    • จัดระเบียบด้วยป้ายกำกับและสี
    • ตั้งการเตือนตามเวลาหรือสถานที่
    • แชร์โน้ตและทำงานร่วมกัน
  2. การใช้ Google Tasks

    • สร้างรายการงานและกำหนดวันครบกำหนด
    • จัดระเบียบงานในรายการต่างๆ
    • เชื่อมโยงกับอีเมลและปฏิทิน
    • ติดตามความคืบหน้าของงาน
  3. การบูรณาการกับแอปอื่น

    • เข้าถึง Keep และ Tasks จาก Gmail, Calendar, และ Drive
    • แปลงอีเมลเป็นงานด้วยคลิกเดียว
    • เพิ่มโน้ตจาก Keep ลงใน Docs
    • ซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทั้งหมด

10. การจัดการผู้ใช้และความปลอดภัย

การจัดการผู้ใช้และกลุ่ม

  1. การเพิ่มและจัดการผู้ใช้

    • เพิ่มผู้ใช้รายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
    • ตั้งค่าข้อมูลโปรไฟล์และรหัสผ่านเริ่มต้น
    • กำหนดหน่วยองค์กรและสิทธิ์
    • ระงับหรือลบผู้ใช้เมื่อจำเป็น
  2. การสร้างและจัดการกลุ่ม

    • สร้างกลุ่มตามแผนก, ทีม, หรือโปรเจกต์
    • กำหนดสมาชิกและผู้ดูแลกลุ่ม
    • ตั้งค่าการเข้าถึงและการแชร์ระดับกลุ่ม
    • ใช้กลุ่มสำหรับการสื่อสารและการแชร์
  3. การจัดการสิทธิ์และการเข้าถึง

    • กำหนดบทบาทผู้ดูแลระบบ (Super Admin, Admin)
    • มอบหมายสิทธิ์เฉพาะสำหรับแต่ละบริการ
    • ใช้หน่วยองค์กรเพื่อจัดกลุ่มผู้ใช้
    • ตั้งค่านโยบายการแชร์ตามหน่วยองค์กร

การตั้งค่าความปลอดภัย

  1. การยืนยันตัวตนและการเข้าสู่ระบบ

    • บังคับใช้การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)
    • ใช้ Security Keys สำหรับการป้องกันขั้นสูง
    • ตั้งค่านโยบายรหัสผ่านที่เข้มงวด
    • ตรวจสอบและจัดการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
  2. การป้องกันข้อมูลและการเข้ารหัส

    • เปิดใช้งานการเข้ารหัสข้อมูลที่พัก
    • ตั้งค่าการป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP)
    • ควบคุมการแชร์ข้อมูลภายนอก
    • จำกัดการเข้าถึงแอปของบุคคลที่สาม
  3. การตรวจสอบและการแจ้งเตือน

    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับกิจกรรมที่น่าสงสัย
    • ตรวจสอบบันทึกการเข้าถึงและการใช้งาน
    • ติดตามการแชร์ไฟล์และการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับการละเมิดนโยบาย

การสำรองและกู้คืนข้อมูล

  1. การสำรองข้อมูลอัตโนมัติ

    • ข้อมูลใน Google Workspace ได้รับการสำรองโดยอัตโนมัติ
    • เข้าถึงเวอร์ชันก่อนหน้าของเอกสาร
    • กู้คืนไฟล์ที่ลบไปแล้วจาก Trash
    • ใช้ Vault สำหรับการเก็บรักษาข้อมูลระยะยาว (ในแผนธุรกิจ)
  2. การใช้เครื่องมือของบุคคลที่สาม

    • พิจารณาใช้บริการสำรองข้อมูลของบุคคลที่สาม
    • ตั้งค่าการสำรองข้อมูลตามกำหนดเวลา
    • ทดสอบการกู้คืนข้อมูลเป็นประจำ
    • เก็บสำเนาสำรองในหลายที่
  3. แผนการกู้คืนจากภัยพิบัติ

    • จัดทำแผนการกู้คืนข้อมูลสำหรับสถานการณ์ต่างๆ
    • กำหนดบุคลากรและขั้นตอนสำหรับการกู้คืน
    • ทดสอบแผนเป็นประจำ
    • บันทึกและปรับปรุงกระบวนการตามความจำเป็น

11. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น

การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม

  1. การใช้ Google Workspace Marketplace

    • เข้าถึง Marketplace จาก workspace.google.com
    • ค้นหาและติดตั้งแอปที่เข้ากันได้
    • จัดการการอนุญาตและการเข้าถึง
    • ตั้งค่าแอปสำหรับผู้ใช้ทั้งองค์กร
  2. แอปยอดนิยมที่เชื่อมต่อกับ Google Workspace

    • CRM: Salesforce, HubSpot, Zoho CRM
    • การจัดการโปรเจกต์: Asana, Trello, Monday.com
    • การลงนามเอกสาร: DocuSign, HelloSign
    • การสำรวจและฟอร์ม: SurveyMonkey, Typeform
    • การสื่อสาร: Slack, Zoom
  3. การใช้ API ของ Google Workspace

    • เชื่อมต่อกับระบบภายในองค์กร
    • สร้างการบูรณาการแบบกำหนดเอง
    • อัตโนมัติกระบวนการทางธุรกิจ
    • ดึงและซิงค์ข้อมูลระหว่างระบบ

การใช้ Google Workspace กับเครื่องมือผลิตภาพอื่น

  1. การทำงานร่วมกับ Microsoft Office

    • เปิดและแก้ไขไฟล์ Word, Excel, PowerPoint
    • แปลงไฟล์ระหว่างรูปแบบ
    • แชร์ไฟล์กับผู้ใช้ Office
    • ใช้ Google Workspace Sync for Microsoft Outlook
  2. การทำงานร่วมกับเครื่องมือการทำงานร่วมกัน

    • เชื่อมต่อกับ Slack, Microsoft Teams
    • แชร์เอกสารและการแจ้งเตือนไปยังแพลตฟอร์มการแชท
    • เชื่อมโยงปฏิทินกับเครื่องมือการจัดการโปรเจกต์
    • ใช้ Single Sign-On (SSO) ระหว่างแพลตฟอร์ม
  3. การทำงานร่วมกับเครื่องมือออกแบบและสร้างสรรค์

    • เชื่อมต่อกับ Adobe Creative Cloud
    • ใช้ Canva กับ Google Drive
    • เชื่อมโยงกับเครื่องมือตัดต่อวิดีโอ
    • แชร์และจัดการสินทรัพย์สร้างสรรค์

การใช้ Google Workspace กับเครื่องมือธุรกิจ

  1. การเชื่อมต่อกับระบบ CRM

    • ซิงค์ผู้ติดต่อและการนัดหมาย
    • แนบอีเมลและเอกสารกับระเบียนลูกค้า
    • ดูข้อมูล CRM ใน Gmail
    • อัตโนมัติการอัพเดทข้อมูลระหว่างระบบ
  2. การเชื่อมต่อกับเครื่องมือการเงินและบัญชี

    • เชื่อมต่อกับ QuickBooks, Xero, FreshBooks
    • แชร์ข้อมูลการเงินผ่าน Sheets
    • จัดการใบแจ้งหนี้และการชำระเงิน
    • ติดตามค่าใช้จ่ายและงบประมาณ
  3. การเชื่อมต่อกับเครื่องมือการตลาด

    • เชื่อมต่อกับ Mailchimp, Constant Contact
    • จัดการรายชื่ออีเมลและแคมเปญ
    • ติดตามผลลัพธ์ในสเปรดชีต
    • แชร์เนื้อหาการตลาดกับทีม

12. กรณีศึกษา: การใช้งานจริงของ Startup

กรณีศึกษา 1: บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก

  • ความท้าทาย: ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ 10 คนต้องการระบบที่ช่วยในการทำงานร่วมกันและการสื่อสาร
  • การใช้ Google Workspace:
    • ใช้ Shared Drives สำหรับเอกสารโปรเจกต์และโค้ด
    • ใช้ Sheets เพื่อติดตามบั๊กและคุณสมบัติ
    • ใช้ Meet และ Chat สำหรับการประชุมทีมและการสื่อสารประจำวัน
    • ใช้ Calendar สำหรับการวางแผนสปรินท์และกำหนดการ
  • ผลลัพธ์:
    • ลดเวลาในการสื่อสารลง 30%
    • ปรับปรุงการติดตามโปรเจกต์และความโปร่งใส
    • ทีมสามารถทำงานจากระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กรณีศึกษา 2: ธุรกิจ E-commerce

  • ความท้าทาย: ร้านค้าออนไลน์ต้องการระบบจัดการสินค้า คำสั่งซื้อ และการสื่อสารกับลูกค้า
  • การใช้ Google Workspace:
    • ใช้ Sheets เพื่อจัดการสินค้าคงคลังและติดตามคำสั่งซื้อ
    • ใช้ Forms สำหรับแบบสอบถามความพึงพอใจของลูกค้า
    • ใช้ Gmail ด้วยโดเมนธุรกิจสำหรับการสื่อสารกับลูกค้า
    • ใช้ Drive เพื่อจัดเก็บรูปภาพสินค้าและเอกสารการตลาด
  • ผลลัพธ์:
    • ลดความผิดพลาดในการจัดการคำสั่งซื้อลง 50%
    • ปรับปรุงการตอบสนองต่อลูกค้า
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายซอฟต์แวร์เฉพาะทางได้มากกว่า 70%

กรณีศึกษา 3: บริษัทที่ปรึกษา

  • ความท้าทาย: บริษัทที่ปรึกษาต้องการระบบที่ปลอดภัยสำหรับการทำงานกับลูกค้าหลายราย
  • การใช้ Google Workspace:
    • ใช้ Drive และโฟลเดอร์ที่แชร์แยกตามลูกค้า
    • ใช้ Docs สำหรับการเขียนรายงานและข้อเสนอแบบทำงานร่วมกัน
    • ใช้ Slides สำหรับการนำเสนอลูกค้า
    • ใช้ Meet สำหรับการประชุมเสมือนจริงกับลูกค้า
  • ผลลัพธ์:
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับลูกค้า 40%
    • ลดเวลาในการสร้างและแก้ไขเอกสาร
    • ปรับปรุงความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า

13. เทคนิคการใช้งาน Google Workspace อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคนิคการประหยัดเวลา

  1. การใช้ Keyboard Shortcuts

    • เรียนรู้ shortcuts พื้นฐานสำหรับแต่ละแอป
    • ใช้ Ctrl+/ หรือ Cmd+/ เพื่อดูรายการ shortcuts
    • สร้างนิสัยการใช้ shortcuts ประจำ
    • ใช้ Quick Access ใน Drive เพื่อเข้าถึงไฟล์ล่าสุด
  2. การใช้ Templates และ Add-ons

    • ใช้เทมเพลตสำหรับเอกสารที่ใช้บ่อย
    • ติดตั้ง Add-ons ที่เพิ่มฟังก์ชันการทำงาน
    • สร้างเทมเพลตของตัวเองสำหรับงานประจำ
    • แชร์เทมเพลตกับทีม
  3. การใช้ฟีเจอร์อัตโนมัติ

    • ใช้ Smart Compose และ Smart Reply ใน Gmail
    • ใช้ Auto-scheduling ใน Calendar
    • ใช้ Explore ใน Docs และ Sheets เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
    • ตั้งค่ากฎอัตโนมัติใน Gmail

การทำงานแบบ Mobile และ Offline

  1. การใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ

    • ติดตั้งแอปพลิเคชัน Google Workspace บนมือถือ
    • ปรับแต่งการแจ้งเตือนให้เหมาะสม
    • ใช้ Dark mode เพื่อประหยัดแบตเตอรี่
    • ใช้ฟีเจอร์การสแกนเอกสารใน Drive
  2. การทำงานแบบ Offline

    • เปิดใช้งานการทำงานออฟไลน์ใน Drive
    • ซิงค์ไฟล์สำคัญสำหรับการเข้าถึงออฟไลน์
    • ใช้ Gmail Offline สำหรับการอ่านและตอบกลับอีเมล
    • ซิงค์ข้อมูลเมื่อกลับมาออนไลน์
  3. การใช้งานข้ามอุปกรณ์

    • ใช้ Chrome เพื่อซิงค์การตั้งค่าและบุ๊กมาร์ก
    • ใช้ Chrome Remote Desktop เพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์จากระยะไกล
    • ใช้ Progressive Web Apps (PWAs) สำหรับการเข้าถึงแบบเดสก์ท็อป
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนให้สอดคล้องกันระหว่างอุปกรณ์

การจัดการพื้นที่เก็บข้อมูลและการจัดระเบียบ

  1. การจัดการพื้นที่ใน Drive

    • ใช้ Storage Manager เพื่อระบุไฟล์ขนาดใหญ่
    • ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นและไฟล์ซ้ำ
    • ใช้ Google Photos สำหรับรูปภาพเพื่อประหยัดพื้นที่
    • อัพเกรดพื้นที่เก็บข้อมูลเมื่อจำเป็น
  2. การจัดระเบียบอีเมลและเอกสาร

    • ใช้ป้ายกำกับและฟิลเตอร์ใน Gmail
    • สร้างโครงสร้างโฟลเดอร์ที่สอดคล้องใน Drive
    • ใช้การค้นหาขั้นสูงเพื่อค้นหาไฟล์และอีเมล
    • จัดเก็บอีเมลและเอกสารเก่าเป็นประจำ
  3. การใช้ Shared Drives อย่างมีประสิทธิภาพ

    • จัดระเบียบ Shared Drives ตามแผนกหรือโปรเจกต์
    • กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงที่เหมาะสม
    • ใช้ Shortcuts เพื่อเข้าถึงโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อย
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

14. ข้อจำกัดและการอัพเกรด

ข้อจำกัดของแผนฟรีและแผนเริ่มต้น

  1. ข้อจำกัดของบัญชี Google ส่วนตัว

    • 15GB พื้นที่เก็บข้อมูลรวมสำหรับ Gmail, Drive, และ Photos
    • ไม่มีอีเมลธุรกิจด้วยโดเมนของคุณเอง
    • ไม่มีการจัดการผู้ใช้และการควบคุมระดับธุรกิจ
    • การสนับสนุนลูกค้าจำกัด
  2. ข้อจำกัดของ Google Workspace Business Starter

    • 30GB พื้นที่เก็บข้อมูลต่อผู้ใช้
    • การประชุม Meet จำกัด 100 คน
    • ไม่มีการบันทึกการประชุม
    • ไม่มีฟีเจอร์การปฏิบัติตามกฎระเบียบและ eDiscovery
  3. ข้อจำกัดของ Google Workspace Essentials Starter

    • จำกัด 25 ผู้ใช้
    • ไม่รวมอีเมลธุรกิจ
    • การประชุม Meet จำกัด 60 นาที
    • พื้นที่เก็บข้อมูลจำกัด

เมื่อไรควรพิจารณาอัพเกรด

  1. สัญญาณที่ควรอัพเกรด:

    • พื้นที่เก็บข้อมูลเหลือน้อย
    • ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงเช่นการบันทึกการประชุม
    • ต้องการการควบคุมความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มากขึ้น
    • ทีมเติบโตเกิน 25 คน (สำหรับ Essentials Starter)
  2. การเลือกแผนที่เหมาะสม:

    • Business Standard: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้นและการบันทึกการประชุม
    • Business Plus: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการการควบคุมความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มากขึ้น
    • Enterprise: เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการการควบคุมและความปลอดภัยระดับสูงสุด
  3. การคำนวณความคุ้มค่า:

    • เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับประโยชน์ที่ได้รับ
    • พิจารณาเวลาที่ประหยัดได้และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น
    • เปรียบเทียบกับต้นทุนของการใช้หลายเครื่องมือแยกกัน
    • พิจารณาความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ทางเลือกอื่นเมื่อเติบโตขึ้น

  1. การใช้ Google Workspace ร่วมกับเครื่องมือเฉพาะทาง:

    • เพิ่มเครื่องมือ CRM เช่น Salesforce หรือ HubSpot
    • ใช้เครื่องมือการจัดการโปรเจกต์เช่น Asana หรือ Monday.com
    • เพิ่มเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง
    • บูรณาการผ่าน API และ Zapier
  2. การพิจารณาแพลตฟอร์มอื่น:

    • Microsoft 365 สำหรับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือ Office แบบเต็มรูปแบบ
    • Zoho Workplace สำหรับทางเลือกที่มีราคาถูกกว่า
    • Open-source solutions เช่น Nextcloud สำหรับการควบคุมที่มากขึ้น
  3. การสร้างโซลูชันแบบไฮบริด:

    • ใช้ Google Workspace สำหรับการทำงานร่วมกันและการสื่อสาร
    • เพิ่มเครื่องมือเฉพาะทางตามความต้องการ
    • พัฒนาแอปพลิเคชันภายในที่เชื่อมต่อกับ Google Workspace
    • ใช้ Single Sign-On เพื่อบูรณาการระบบต่างๆ

15. สรุป: ทำไม Google Workspace ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น

  1. ประหยัดต้นทุน
    เริ่มต้นด้วยแผนฟรีหรือราคาประหยัด ไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ราคาแพง

  2. ใช้งานง่าย
    อินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคมาก

  3. การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
    ทีมสามารถทำงานบนเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

  4. ความน่าเชื่อถือ
    อีเมลธุรกิจด้วยโดเมนของคุณเองสร้างภาพลักษณ์มืออาชีพ

  5. ขยายได้ตามการเติบโต
    เริ่มต้นเล็กๆ และขยายตามการเติบโตของธุรกิจ

“Google Workspace เป็นชุดเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบสำหรับธุรกิจเริ่มต้นที่ต้องการโซลูชันที่ครบวงจร ใช้งานง่าย และมีราคาประหยัด โดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ด้วยการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์และการเข้าถึงจากทุกที่ Google Workspace ช่วยให้ทีมของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะอยู่ในออฟฟิศเดียวกันหรือกระจายอยู่ทั่วโลก”


16. แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม

เอกสารและบทความ:

คอมมูนิตี้:

คอร์สและการฝึกอบรม:

เคล็ดลับ: Google มีการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับ Google Workspace อยู่เสมอ ติดตาม Google Workspace Updates Blog และ Twitter เพื่อไม่พลาดฟีเจอร์ล่าสุดที่อาจช่วยให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น