Digital Ocean Volumes: บริการ Block Storage สำหรับธุรกิจเริ่มต้น

Digital Ocean Volumes

Digital Ocean Volumes — Photo by Gemini Generated

Digital Ocean Volumes: บริการ Block Storage สำหรับธุรกิจเริ่มต้น

เพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ SSD ให้กับ Droplets ได้อย่างยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ตามต้องการ และมีความทนทานสูง


1. ทำความเข้าใจ Digital Ocean Volumes

Volumes คืออะไร?

  • นิยาม: บริการ Block Storage ที่ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ SSD ให้กับ Droplets ได้อย่างยืดหยุ่น โดยแยกออกจากพื้นที่จัดเก็บหลักของ Droplet
  • ความสามารถหลัก:
    • เพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้สูงสุด 16TB ต่อ Volume
    • ติดตั้งและถอดออกจาก Droplets ได้อย่างยืดหยุ่น
    • ปรับขนาดได้ตามต้องการ (เพิ่มขนาดเท่านั้น)
    • ใช้เทคโนโลยี SSD ทั้งหมด
    • สำรองข้อมูลด้วย Snapshots
  • ข้อดี: ยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ง่าย มีความทนทานสูง และราคาคาดเดาได้

ทำไมต้องใช้ Volumes?

  • แยกข้อมูลออกจาก Droplet: เก็บข้อมูลแยกจาก Droplet ทำให้สามารถย้ายข้อมูลระหว่าง Droplets ได้
  • ขยายพื้นที่จัดเก็บ: เพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องอัพเกรด Droplet
  • ความทนทานสูง: ข้อมูลถูกเก็บแบบ redundant เพื่อป้องกันการสูญหาย
  • ประสิทธิภาพ: ใช้ SSD ทั้งหมดเพื่อความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูล
  • ความยืดหยุ่น: ติดตั้งและถอดออกจาก Droplets ได้ตามต้องการ
  • ราคาที่คาดเดาได้: โครงสร้างราคาที่ชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง

2. เปรียบเทียบ Volumes กับบริการ Block Storage อื่น

Volumes vs AWS EBS

คุณสมบัติ Digital Ocean Volumes AWS EBS
ราคาพื้นฐาน $0.10/GB/เดือน $0.10/GB/เดือน (gp2)
โครงสร้างราคา ชัดเจน ซับซ้อน มีหลายประเภท
ขนาดสูงสุด 16TB 16TB
ประเภท SSD เท่านั้น หลายประเภท (SSD, HDD)
IOPS ไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับ IOPS สูง
การปรับขนาด เพิ่มขนาดเท่านั้น เพิ่มและลดขนาดได้

Volumes vs Google Persistent Disk

คุณสมบัติ Digital Ocean Volumes Google Persistent Disk
ราคาพื้นฐาน $0.10/GB/เดือน $0.10/GB/เดือน (SSD)
โครงสร้างราคา ชัดเจน ซับซ้อนปานกลาง
ขนาดสูงสุด 16TB 64TB
ประเภท SSD เท่านั้น หลายประเภท (SSD, HDD)
การปรับขนาด เพิ่มขนาดเท่านั้น เพิ่มและลดขนาดได้
การสำรองข้อมูล Snapshots Snapshots และ regional persistent disks

Volumes vs Linode Block Storage

คุณสมบัติ Digital Ocean Volumes Linode Block Storage
ราคาพื้นฐาน $0.10/GB/เดือน $0.10/GB/เดือน
โครงสร้างราคา ชัดเจน ชัดเจน
ขนาดสูงสุด 16TB 10TB
ประเภท SSD เท่านั้น SSD เท่านั้น
การปรับขนาด เพิ่มขนาดเท่านั้น เพิ่มขนาดเท่านั้น
การบูรณาการ บริการ DO บริการ Linode

3. ประโยชน์ของ Volumes สำหรับธุรกิจเริ่มต้น

กรณีการใช้งานที่เหมาะสม

  1. ฐานข้อมูล:

    • จัดเก็บไฟล์ฐานข้อมูลบน Volume แยกต่างหาก
    • ปรับขนาดพื้นที่จัดเก็บตามการเติบโตของข้อมูล
    • ย้ายฐานข้อมูลระหว่าง Droplets ได้ง่าย
    • สำรองข้อมูลด้วย Snapshots
    • รักษาข้อมูลไว้เมื่อต้องการอัพเกรดหรือเปลี่ยน Droplet
  2. ระบบไฟล์สำหรับแอปพลิเคชัน:

    • จัดเก็บไฟล์ที่อัปโหลดจากผู้ใช้
    • เก็บ logs และข้อมูลการติดตาม
    • จัดเก็บไฟล์สื่อและคอนเทนต์
    • แชร์ไฟล์ระหว่างหลาย Droplets
    • ขยายพื้นที่จัดเก็บโดยไม่ต้องหยุดการทำงานของแอปพลิเคชัน
  3. การสำรองและการกู้คืน:

    • สร้าง Volumes สำหรับการสำรองข้อมูลโดยเฉพาะ
    • ใช้ Snapshots เพื่อสร้างจุดกู้คืน
    • ทดสอบการอัพเดตหรือการเปลี่ยนแปลงบน Volume ชั่วคราว
    • กู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดปัญหา
    • รักษาประวัติการสำรองข้อมูล

ข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

  1. ความคุ้มค่า:

    • จ่ายเฉพาะพื้นที่ที่ใช้จริง
    • ไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์จัดเก็บข้อมูล
    • ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
    • ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงหรือค่าธรรมเนียมการโอนข้อมูล
    • ประหยัดกว่าการอัพเกรด Droplet เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ
  2. ความยืดหยุ่นและการปรับขนาด:

    • เพิ่มพื้นที่จัดเก็บได้ตามต้องการ
    • ปรับขนาดได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงาน
    • ย้ายข้อมูลระหว่าง Droplets ได้ง่าย
    • รองรับการเติบโตของธุรกิจ
    • ปรับเปลี่ยนตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง
  3. ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย:

    • ข้อมูลถูกเก็บแบบ redundant เพื่อป้องกันการสูญหาย
    • สำรองข้อมูลด้วย Snapshots
    • แยกข้อมูลออกจาก Droplet เพื่อความปลอดภัย
    • ลดความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูล
    • กู้คืนได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดปัญหา

4. การเริ่มต้นใช้งาน Volumes

การสร้าง Volume แรก

  1. การเตรียมพร้อม:

    • มีบัญชี Digital Ocean
    • มี Droplet ที่ต้องการเชื่อมต่อกับ Volume
    • เข้าใจความต้องการด้านพื้นที่จัดเก็บ
    • วางแผนการใช้งานและการติดตั้ง
    • ตรวจสอบว่า Droplet อยู่ในภูมิภาคเดียวกับที่ต้องการสร้าง Volume
  2. การสร้าง Volume ผ่าน Dashboard:

    • เข้าสู่ Digital Ocean Dashboard
    • คลิก “Create” > “Volumes”
    • เลือกภูมิภาคที่ตรงกับ Droplet
    • กำหนดขนาด Volume (เริ่มต้นที่ 1GB)
    • ตั้งชื่อ Volume
    • เลือก Droplet ที่ต้องการเชื่อมต่อ (หรือเลือกเชื่อมต่อภายหลัง)
    • คลิก “Create Volume”
  3. การสร้าง Volume ผ่าน API หรือ CLI:

    • ใช้ Digital Ocean CLI (doctl):
      doctl compute volume create my-volume --region nyc1 --size 10GiB
      
    • หรือใช้ API:
      curl -X POST -H "Content-Type: application/json" \
        -H "Authorization: Bearer $DO_API_TOKEN" \
        -d '{"name":"my-volume","region":"nyc1","size_gigabytes":10}' \
        "https://api.digitalocean.com/v2/volumes"
      
    • ติดตั้ง Volume กับ Droplet:
      doctl compute volume-action attach my-volume droplet-id
      

การติดตั้งและการฟอร์แมต Volume

  1. การติดตั้ง Volume บน Linux:

    • เข้าสู่ Droplet ผ่าน SSH
    • ตรวจสอบ Volume ที่เชื่อมต่อ:
      lsblk
      
    • สร้างระบบไฟล์ (ถ้าเป็น Volume ใหม่):
      sudo mkfs.ext4 /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name
      
    • สร้างจุดเชื่อมต่อ:
      sudo mkdir -p /mnt/my-volume
      
    • ติดตั้ง Volume:
      sudo mount -o discard,defaults /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name /mnt/my-volume
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์การเข้าถึง:
      sudo chown -R user:user /mnt/my-volume
      
  2. การติดตั้งอัตโนมัติเมื่อรีสตาร์ท:

    • แก้ไขไฟล์ /etc/fstab:
      sudo nano /etc/fstab
      
    • เพิ่มบรรทัดต่อไปนี้:
      /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name /mnt/my-volume ext4 defaults,nofail,discard 0 2
      
    • บันทึกและปิดไฟล์
    • ทดสอบการติดตั้ง:
      sudo mount -a
      
    • ตรวจสอบพื้นที่ว่าง:
      df -h /mnt/my-volume
      
  3. การใช้งาน Volume:

    • เริ่มใช้งาน Volume สำหรับจัดเก็บข้อมูล
    • ย้ายไฟล์ไปยัง Volume:
      sudo rsync -av /path/to/source/ /mnt/my-volume/
      
    • ตั้งค่าแอปพลิเคชันให้ใช้ Volume
    • ตรวจสอบประสิทธิภาพและการใช้งาน
    • ติดตามพื้นที่ว่างอย่างสม่ำเสมอ

การจัดการ Volumes

  1. การปรับขนาด Volume:

    • ผ่าน Dashboard: เลือก Volume > “Resize Volume”
    • ผ่าน CLI:
      doctl compute volume-action resize volume-id --size 20GiB
      
    • ขยายระบบไฟล์หลังจากปรับขนาด:
      sudo resize2fs /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name
      
    • ตรวจสอบขนาดใหม่:
      df -h /mnt/my-volume
      
  2. การย้าย Volume ระหว่าง Droplets:

    • ถอด Volume จาก Droplet ปัจจุบัน:
      sudo umount /mnt/my-volume
      
    • ผ่าน Dashboard: เลือก Volume > “More” > “Detach”
    • ผ่าน CLI:
      doctl compute volume-action detach volume-id
      
    • ติดตั้ง Volume กับ Droplet ใหม่:
      doctl compute volume-action attach volume-id new-droplet-id
      
    • ติดตั้ง Volume บน Droplet ใหม่ตามขั้นตอนการติดตั้ง
  3. การสำรองข้อมูลด้วย Snapshots:

    • ผ่าน Dashboard: เลือก Volume > “More” > “Create Snapshot”
    • ผ่าน CLI:
      doctl compute volume-action snapshot volume-id --snapshot-name my-volume-snapshot
      
    • ตั้งเวลาสำรองข้อมูลอัตโนมัติด้วย cron job:
      0 3 * * * doctl compute volume-action snapshot volume-id --snapshot-name "backup-$(date +\%Y\%m\%d)"
      
    • จัดการ Snapshots เก่า:
      doctl compute snapshot list
      doctl compute snapshot delete snapshot-id
      

5. การใช้งาน Volumes สำหรับกรณีการใช้งานทั่วไป

การใช้งานกับฐานข้อมูล

  1. การย้ายฐานข้อมูล MySQL ไปยัง Volume:

    • หยุดบริการ MySQL:
      sudo systemctl stop mysql
      
    • สำรองข้อมูลปัจจุบัน:
      sudo mysqldump --all-databases > /tmp/all_databases.sql
      
    • ย้ายไฟล์ฐานข้อมูลไปยัง Volume:
      sudo rsync -av /var/lib/mysql/ /mnt/my-volume/mysql/
      
    • แก้ไขไฟล์คอนฟิก MySQL:
      sudo nano /etc/mysql/mysql.conf.d/mysqld.cnf
      
    • เปลี่ยน datadir:
      datadir = /mnt/my-volume/mysql
      
    • อัพเดท AppArmor (ถ้าใช้):
      sudo nano /etc/apparmor.d/tunables/alias
      
    • เพิ่มบรรทัด:
      alias /var/lib/mysql/ -> /mnt/my-volume/mysql/,
      
    • รีสตาร์ท AppArmor และ MySQL:
      sudo systemctl restart apparmor
      sudo systemctl start mysql
      
  2. การใช้งานกับ PostgreSQL:

    • หยุดบริการ PostgreSQL:
      sudo systemctl stop postgresql
      
    • สำรองข้อมูลปัจจุบัน:
      sudo -u postgres pg_dumpall > /tmp/pg_backup.sql
      
    • ย้ายไฟล์ฐานข้อมูลไปยัง Volume:
      sudo rsync -av /var/lib/postgresql/ /mnt/my-volume/postgresql/
      
    • แก้ไขไฟล์คอนฟิก PostgreSQL:
      sudo nano /etc/postgresql/13/main/postgresql.conf
      
    • เปลี่ยน data_directory:
      data_directory = '/mnt/my-volume/postgresql/13/main'
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์:
      sudo chown -R postgres:postgres /mnt/my-volume/postgresql/
      
    • รีสตาร์ท PostgreSQL:
      sudo systemctl start postgresql
      
  3. การปรับแต่งประสิทธิภาพ:

    • ตั้งค่า noatime เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
      /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name /mnt/my-volume ext4 defaults,nofail,discard,noatime 0 2
      
    • ปรับแต่งค่าคอนฟิกฐานข้อมูลสำหรับ SSD:
      • สำหรับ MySQL:
        innodb_flush_method = O_DIRECT
        innodb_io_capacity = 2000
        innodb_io_capacity_max = 4000
        
      • สำหรับ PostgreSQL:
        random_page_cost = 1.1
        effective_io_concurrency = 200
        
    • ติดตามประสิทธิภาพและปรับแต่งตามความเหมาะสม

การใช้งานกับแอปพลิเคชันเว็บ

  1. การจัดเก็บไฟล์ที่อัปโหลดจากผู้ใช้:

    • สร้างโฟลเดอร์สำหรับไฟล์ที่อัปโหลด:
      sudo mkdir -p /mnt/my-volume/uploads
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์:
      sudo chown -R www-data:www-data /mnt/my-volume/uploads
      sudo chmod -R 755 /mnt/my-volume/uploads
      
    • ตั้งค่าเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Nginx):
      location /uploads {
          alias /mnt/my-volume/uploads;
      }
      
    • หรือสร้าง symbolic link:
      sudo ln -s /mnt/my-volume/uploads /var/www/html/uploads
      
    • ตั้งค่าแอปพลิเคชันให้ใช้โฟลเดอร์นี้สำหรับการอัปโหลด
  2. การจัดเก็บ logs และข้อมูลการติดตาม:

    • ย้าย logs ไปยัง Volume:
      sudo mkdir -p /mnt/my-volume/logs
      
    • แก้ไขไฟล์คอนฟิกเว็บเซิร์ฟเวอร์:
      • สำหรับ Nginx:
        error_log /mnt/my-volume/logs/error.log;
        access_log /mnt/my-volume/logs/access.log;
        
      • สำหรับ Apache:
        ErrorLog /mnt/my-volume/logs/error.log
        CustomLog /mnt/my-volume/logs/access.log combined
        
    • ตั้งค่า log rotation:
      sudo nano /etc/logrotate.d/my-app
      
      /mnt/my-volume/logs/*.log {
          daily
          missingok
          rotate 14
          compress
          delaycompress
          notifempty
          create 0640 www-data www-data
          sharedscripts
          postrotate
              [ -s /run/nginx.pid ] && kill -USR1 `cat /run/nginx.pid`
          endscript
      }
      
  3. การใช้งานกับ Content Management Systems (CMS):

    • WordPress:
      • ย้าย wp-content ไปยัง Volume:
        sudo rsync -av /var/www/html/wp-content/ /mnt/my-volume/wp-content/
        
      • สร้าง symbolic link:
        sudo rm -rf /var/www/html/wp-content
        sudo ln -s /mnt/my-volume/wp-content /var/www/html/wp-content
        
    • Drupal:
      • ย้าย sites/default/files ไปยัง Volume:
        sudo rsync -av /var/www/html/sites/default/files/ /mnt/my-volume/drupal-files/
        
      • สร้าง symbolic link:
        sudo rm -rf /var/www/html/sites/default/files
        sudo ln -s /mnt/my-volume/drupal-files /var/www/html/sites/default/files
        
    • ตั้งค่าสิทธิ์ที่เหมาะสม:
      sudo chown -R www-data:www-data /mnt/my-volume/
      

การใช้งานสำหรับการสำรองและการกู้คืน

  1. การสร้างระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ:

    • สร้าง script สำหรับการสำรองข้อมูล:
      #!/bin/bash
      # backup.sh
      BACKUP_DIR="/mnt/my-volume/backups/$(date +\%Y\%m\%d)"
      mkdir -p $BACKUP_DIR
      
      # สำรองฐานข้อมูล
      mysqldump --all-databases > $BACKUP_DIR/all_databases.sql
      
      # สำรองไฟล์แอปพลิเคชัน
      tar -czf $BACKUP_DIR/app_files.tar.gz /var/www/html
      
      # เก็บเฉพาะ backups 7 วันล่าสุด
      find /mnt/my-volume/backups -type d -mtime +7 -exec rm -rf {} \;
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์:
      sudo chmod +x /usr/local/bin/backup.sh
      
    • ตั้งเวลาทำงานอัตโนมัติด้วย cron:
      sudo crontab -e
      
      0 2 * * * /usr/local/bin/backup.sh
      
  2. การใช้ Snapshots:

    • สร้าง script สำหรับการสร้าง Snapshot:
      #!/bin/bash
      # snapshot.sh
      # ต้องตั้งค่า DO_API_TOKEN ก่อน
      
      # สร้าง Snapshot
      curl -X POST -H "Content-Type: application/json" \
        -H "Authorization: Bearer $DO_API_TOKEN" \
        -d '{"name":"volume-snapshot-'$(date +\%Y\%m\%d)'","volume_id":"your-volume-id"}' \
        "https://api.digitalocean.com/v2/volumes/your-volume-id/snapshots"
      
      # ลบ Snapshots เก่า (เก็บ 7 วันล่าสุด)
      SNAPSHOTS=$(curl -X GET -H "Content-Type: application/json" \
        -H "Authorization: Bearer $DO_API_TOKEN" \
        "https://api.digitalocean.com/v2/volumes/your-volume-id/snapshots" | jq -r '.snapshots[] | select(.name | startswith("volume-snapshot-")) | .id')
      
      COUNT=$(echo "$SNAPSHOTS" | wc -l)
      if [ $COUNT -gt 7 ]; then
        OLDEST=$(echo "$SNAPSHOTS" | head -n $(($COUNT - 7)))
        for SNAPSHOT_ID in $OLDEST; do
          curl -X DELETE -H "Content-Type: application/json" \
            -H "Authorization: Bearer $DO_API_TOKEN" \
            "https://api.digitalocean.com/v2/snapshots/$SNAPSHOT_ID"
        done
      fi
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์และ cron job เช่นเดียวกับข้างต้น
  3. การกู้คืนข้อมูล:

    • จาก backup ปกติ:
      # กู้คืนฐานข้อมูล
      mysql < /mnt/my-volume/backups/20250620/all_databases.sql
      
      # กู้คืนไฟล์แอปพลิเคชัน
      tar -xzf /mnt/my-volume/backups/20250620/app_files.tar.gz -C /tmp
      rsync -av /tmp/var/www/html/ /var/www/html/
      
    • จาก Snapshot:
      • สร้าง Volume ใหม่จาก Snapshot ผ่าน Dashboard หรือ API
      • ติดตั้ง Volume ใหม่กับ Droplet
      • ย้ายข้อมูลจาก Volume ใหม่ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ

6. การบูรณาการ Volumes กับบริการอื่นๆ

การใช้งานกับ Docker

  1. การตั้งค่า Docker Volume Driver:

    • ติดตั้ง Docker บน Droplet
    • ติดตั้ง Volume บน Droplet
    • สร้างโฟลเดอร์สำหรับ Docker volumes:
      sudo mkdir -p /mnt/my-volume/docker-volumes
      
    • แก้ไขไฟล์คอนฟิก Docker:
      sudo nano /etc/docker/daemon.json
      
      {
        "data-root": "/mnt/my-volume/docker-volumes"
      }
      
    • รีสตาร์ท Docker:
      sudo systemctl restart docker
      
  2. การใช้งานกับ Docker Compose:

    • ตัวอย่างไฟล์ docker-compose.yml:
      version: '3'
      services:
        db:
          image: mysql:8.0
          volumes:
            - /mnt/my-volume/mysql-data:/var/lib/mysql
          environment:
            MYSQL_ROOT_PASSWORD: example
            MYSQL_DATABASE: myapp
        web:
          image: nginx:latest
          volumes:
            - /mnt/my-volume/web-content:/usr/share/nginx/html
            - /mnt/my-volume/nginx-logs:/var/log/nginx
          ports:
            - "80:80"
      
    • รัน Docker Compose:
      docker-compose up -d
      
  3. การสำรองข้อมูล Docker:

    • สำรอง Docker volumes:
      docker run --rm -v my-volume:/source -v /mnt/my-volume/backups:/backup ubuntu tar -czf /backup/my-volume-backup.tar.gz -C /source .
      
    • กู้คืน Docker volumes:
      docker run --rm -v my-volume:/target -v /mnt/my-volume/backups:/backup ubuntu bash -c "cd /target && tar -xzf /backup/my-volume-backup.tar.gz"
      
    • หรือใช้ plugin เช่น docker-volume-backup

การใช้งานกับ Kubernetes

  1. การใช้ Volumes กับ Digital Ocean Kubernetes (DOKS):

    • สร้าง StorageClass:
      apiVersion: storage.k8s.io/v1
      kind: StorageClass
      metadata:
        name: do-block-storage
      provisioner: dobs.csi.digitalocean.com
      
    • สร้าง PersistentVolumeClaim:
      apiVersion: v1
      kind: PersistentVolumeClaim
      metadata:
        name: my-app-data
      spec:
        accessModes:
          - ReadWriteOnce
        resources:
          requests:
            storage: 10Gi
        storageClassName: do-block-storage
      
    • ใช้ใน Deployment:
      apiVersion: apps/v1
      kind: Deployment
      metadata:
        name: my-app
      spec:
        replicas: 1
        selector:
          matchLabels:
            app: my-app
        template:
          metadata:
            labels:
              app: my-app
          spec:
            containers:
            - name: my-app
              image: my-app:latest
              volumeMounts:
              - name: data
                mountPath: /app/data
            volumes:
            - name: data
              persistentVolumeClaim:
                claimName: my-app-data
      
  2. การสำรองข้อมูล Kubernetes:

    • ใช้ Velero:
      velero backup create my-app-backup --include-namespaces my-app
      
    • หรือใช้ CSI snapshots:
      apiVersion: snapshot.storage.k8s.io/v1
      kind: VolumeSnapshot
      metadata:
        name: my-app-data-snapshot
      spec:
        volumeSnapshotClassName: do-block-storage-snapshot
        source:
          persistentVolumeClaimName: my-app-data
      
  3. การใช้งานกับ StatefulSets:

    • ตัวอย่าง StatefulSet:
      apiVersion: apps/v1
      kind: StatefulSet
      metadata:
        name: db
      spec:
        serviceName: "db"
        replicas: 3
        selector:
          matchLabels:
            app: db
        template:
          metadata:
            labels:
              app: db
          spec:
            containers:
            - name: db
              image: mysql:8.0
              volumeMounts:
              - name: data
                mountPath: /var/lib/mysql
        volumeClaimTemplates:
        - metadata:
            name: data
          spec:
            accessModes: [ "ReadWriteOnce" ]
            storageClassName: do-block-storage
            resources:
              requests:
                storage: 10Gi
      

การใช้งานกับ CI/CD

  1. การใช้ Volumes สำหรับ CI/CD Runners:

    • ตัวอย่างสำหรับ GitLab Runner:
      • ติดตั้ง GitLab Runner บน Droplet
      • ติดตั้ง Volume
      • แก้ไขไฟล์คอนฟิก:
        sudo nano /etc/gitlab-runner/config.toml
        
        concurrent = 3
        check_interval = 0
        
        [[runners]]
          name = "my-runner"
          url = "https://gitlab.com/"
          token = "TOKEN"
          executor = "docker"
          [runners.docker]
            tls_verify = false
            image = "docker:latest"
            privileged = true
            disable_cache = false
            volumes = ["/mnt/my-volume/gitlab-runner-cache:/cache", "/var/run/docker.sock:/var/run/docker.sock"]
        
      • รีสตาร์ท GitLab Runner:
        sudo systemctl restart gitlab-runner
        
  2. การใช้ Volumes สำหรับ Artifacts:

    • สร้างโฟลเดอร์สำหรับ artifacts:
      sudo mkdir -p /mnt/my-volume/artifacts
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์:
      sudo chown -R ci-user:ci-user /mnt/my-volume/artifacts
      
    • ใช้ในไฟล์ CI/CD:
      # .gitlab-ci.yml
      build:
        script:
          - npm run build
          - cp -r dist/ /mnt/my-volume/artifacts/$CI_COMMIT_SHA/
      
      deploy:
        script:
          - cp -r /mnt/my-volume/artifacts/$CI_COMMIT_SHA/ /var/www/html/
      
  3. การใช้ Volumes สำหรับ Cache:

    • สร้างโฟลเดอร์สำหรับ cache:
      sudo mkdir -p /mnt/my-volume/ci-cache
      
    • ตั้งค่าสิทธิ์:
      sudo chown -R ci-user:ci-user /mnt/my-volume/ci-cache
      
    • ใช้ใน GitHub Actions:
      # .github/workflows/build.yml
      jobs:
        build:
          runs-on: self-hosted
          steps:
            - uses: actions/checkout@v2
            - name: Cache node modules
              uses: actions/cache@v2
              with:
                path: /mnt/my-volume/ci-cache/node_modules
                key: ${{ runner.os }}-node-${{ hashFiles('**/package-lock.json') }}
            - name: Install dependencies
              run: |
                cp -r /mnt/my-volume/ci-cache/node_modules ./node_modules || true
                npm install
                mkdir -p /mnt/my-volume/ci-cache
                cp -r ./node_modules /mnt/my-volume/ci-cache/          
      

7. เทคนิคและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด

การเพิ่มประสิทธิภาพ

  1. การปรับแต่งระบบไฟล์:

    • ใช้ตัวเลือก mount ที่เหมาะสม:
      discard,noatime,nodiratime
      
    • ใช้ระบบไฟล์ที่เหมาะสม (ext4 หรือ xfs)
    • ตั้งค่า I/O scheduler:
      echo noop > /sys/block/vda/queue/scheduler
      
    • ปรับแต่ง readahead:
      sudo blockdev --setra 256 /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name
      
  2. การจัดการ I/O:

    • ใช้ ionice สำหรับงานที่ใช้ I/O สูง:
      ionice -c2 -n7 rsync -av /source/ /mnt/my-volume/destination/
      
    • ติดตาม I/O ด้วย iotop:
      sudo iotop
      
    • ใช้ fio สำหรับทดสอบประสิทธิภาพ:
      fio --name=test --ioengine=libaio --rw=randwrite --bs=4k --direct=1 --size=1G --numjobs=4 --directory=/mnt/my-volume
      
    • พิจารณาใช้ caching solutions เช่น bcache หรือ dm-cache
  3. การปรับแต่งแอปพลิเคชัน:

    • ใช้ connection pooling สำหรับฐานข้อมูล
    • ลดการเขียนข้อมูลที่ไม่จำเป็น
    • ใช้ batch operations เมื่อเป็นไปได้
    • พิจารณาใช้ in-memory caching (Redis, Memcached)
    • ปรับแต่งค่าคอนฟิกแอปพลิเคชันให้เหมาะกับ SSD

การรักษาความปลอดภัย

  1. การเข้ารหัสข้อมูล:

    • ใช้ LUKS สำหรับการเข้ารหัสข้อมูล:
      sudo cryptsetup luksFormat /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name
      sudo cryptsetup luksOpen /dev/disk/by-id/scsi-0DO_Volume_volume-name encrypted-volume
      sudo mkfs.ext4 /dev/mapper/encrypted-volume
      sudo mount /dev/mapper/encrypted-volume /mnt/my-volume
      
    • หรือใช้ eCryptfs สำหรับการเข้ารหัสระดับโฟลเดอร์:
      sudo apt-get install ecryptfs-utils
      sudo mount -t ecryptfs /mnt/my-volume/encrypted /mnt/my-volume/decrypted
      
    • ใช้ application-level encryption เมื่อเหมาะสม
  2. การควบคุมการเข้าถึง:

    • ตั้งค่าสิทธิ์ไฟล์และโฟลเดอร์อย่างเหมาะสม:
      sudo chmod 700 /mnt/my-volume/sensitive-data
      
    • ใช้ ACLs สำหรับการควบคุมการเข้าถึงที่ละเอียดขึ้น:
      sudo setfacl -m u:user1:rwx,u:user2:r-x /mnt/my-volume/shared-data
      
    • จำกัดการเข้าถึงผ่าน SSH keys เท่านั้น
    • ใช้ SELinux หรือ AppArmor เมื่อเหมาะสม
  3. การตรวจสอบและการติดตาม:

    • ติดตั้ง auditd สำหรับการตรวจสอบการเข้าถึงไฟล์:
      sudo apt-get install auditd
      sudo auditctl -w /mnt/my-volume -p rwxa
      
    • ตรวจสอบ logs เป็นประจำ:
      sudo ausearch -f /mnt/my-volume
      
    • ใช้ tools เช่น tripwire หรือ aide สำหรับการตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟล์
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่น่าสงสัย

การจัดการต้นทุน

  1. การติดตามการใช้งาน:

    • ติดตามการใช้งานพื้นที่:
      df -h /mnt/my-volume
      
    • ใช้ tools เช่น ncdu สำหรับการวิเคราะห์การใช้พื้นที่:
      sudo ncdu /mnt/my-volume
      
    • ติดตามค่าใช้จ่ายผ่าน Digital Ocean Dashboard
    • ตั้งค่าการแจ้งเตือนค่าใช้จ่าย
  2. การลดต้นทุน:

    • ลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งาน
    • บีบอัดข้อมูลเมื่อเหมาะสม:
      find /mnt/my-volume -name "*.log" -exec gzip {} \;
      
    • ใช้ tools เช่น logrotate สำหรับการจัดการ logs
    • พิจารณาการย้ายข้อมูลที่เข้าถึงน้อยไปยัง Spaces (Object Storage)
    • ใช้ Snapshots อย่างมีประสิทธิภาพ (ลบ Snapshots เก่าที่ไม่จำเป็น)
  3. การวางแผนความจุ:

    • ติดตามอัตราการเติบโตของข้อมูล
    • วางแผนการปรับขนาด Volume ล่วงหน้า
    • ใช้ tools เช่น Prometheus และ Grafana สำหรับการติดตามและการคาดการณ์
    • พิจารณาการแยก Volumes ตามประเภทข้อมูลและอัตราการเติบโต
    • ตั้งค่านโยบายการเก็บข้อมูลที่ชัดเจน

8. กรณีศึกษา: การใช้งานจริงของ Startup

กรณีศึกษา 1: บริษัท SaaS ด้านการจัดการโครงการ

  • ความท้าทาย: บริษัท SaaS ด้านการจัดการโครงการต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่ขยายได้สำหรับไฟล์โครงการและเอกสารที่ผู้ใช้อัปโหลด
  • การใช้ Volumes:
    • ใช้ Volumes สำหรับจัดเก็บไฟล์ที่ผู้ใช้อัปโหลด
    • แยก Volumes ตามประเภทข้อมูล (เอกสาร, รูปภาพ, ไฟล์โครงการ)
    • ตั้งค่าการสำรองข้อมูลอัตโนมัติด้วย Snapshots
    • ใช้ Docker volumes สำหรับการจัดการแอปพลิเคชัน
    • ปรับขนาด Volumes ตามการเติบโตของผู้ใช้
  • ผลลัพธ์:
    • รองรับการเติบโตของข้อมูลจาก 50GB เป็น 2TB ในเวลา 1 ปี
    • ลดเวลาในการกู้คืนข้อมูลจาก 24 ชั่วโมงเหลือ 1 ชั่วโมง
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บข้อมูลลง 40% เทียบกับการใช้ Droplets ขนาดใหญ่
    • เพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบและลดการสูญเสียข้อมูล

กรณีศึกษา 2: แพลตฟอร์ม E-commerce

  • ความท้าทาย: แพลตฟอร์ม E-commerce ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่รองรับการเติบโตของสินค้าและรูปภาพ
  • การใช้ Volumes:
    • ใช้ Volumes สำหรับฐานข้อมูล MySQL
    • แยก Volumes สำหรับรูปภาพสินค้า
    • ใช้ Volumes สำหรับ logs และข้อมูลการวิเคราะห์
    • ตั้งค่าการสำรองข้อมูลอัตโนมัติทุกวัน
    • ใช้ scripts สำหรับการจัดการรูปภาพอัตโนมัติ
  • ผลลัพธ์:
    • รองรับการเพิ่มขึ้นของสินค้าจาก 10,000 เป็น 100,000 รายการ
    • ลดเวลาในการโหลดหน้าเว็บลง 30% ด้วยการแยกฐานข้อมูลและรูปภาพ
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บข้อมูลลง 35%
    • เพิ่มความพร้อมใช้งานของระบบเป็น 99.9%

กรณีศึกษา 3: บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์

  • ความท้าทาย: บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องการระบบ CI/CD ที่มีประสิทธิภาพและรองรับการทำงานร่วมกันของทีม
  • การใช้ Volumes:
    • ใช้ Volumes สำหรับ GitLab Runner cache
    • ใช้ Volumes สำหรับ Docker images และ containers
    • ใช้ Volumes สำหรับ artifacts และ build outputs
    • ตั้งค่าการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ
    • ใช้ Volumes สำหรับการทดสอบและการ staging
  • ผลลัพธ์:
    • ลดเวลาในการ build และ test ลง 50%
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บข้อมูลลง 30%
    • เพิ่มความเร็วในการ deploy ขึ้น 40%
    • รองรับการทำงานร่วมกันของทีมพัฒนาที่เพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 20 คน

9. ข้อจำกัดและทางเลือก

ข้อจำกัดของ Volumes

  1. ข้อจำกัดด้านฟีเจอร์:

    • ไม่สามารถลดขนาด Volume ได้ (เพิ่มขนาดเท่านั้น)
    • ไม่รองรับการติดตั้งกับหลาย Droplets พร้อมกัน
    • ไม่มี multi-region replication ในตัว
    • ไม่มี automatic tiering
    • ไม่มี built-in encryption
  2. ข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ:

    • ประสิทธิภาพอาจต่ำกว่าพื้นที่จัดเก็บในตัวของ Droplet
    • อาจมีความล่าช้าเล็กน้อยเนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย
    • ข้อจำกัดด้าน IOPS สำหรับการใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงมาก
    • ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการ ultra-low latency
    • ไม่มีการปรับแต่งประสิทธิภาพอัตโนมัติ
  3. ข้อจำกัดด้านการใช้งาน:

    • ต้องอยู่ในภูมิภาคเดียวกับ Droplet
    • ไม่สามารถย้ายระหว่างภูมิภาคได้โดยตรง
    • ไม่รองรับการแชร์ระหว่างหลายบัญชี
    • ไม่มี built-in file sharing protocols (NFS, SMB)
    • ต้องจัดการ filesystem และ mounting เอง

เมื่อไรควรพิจารณาทางเลือกอื่น

  1. ควรพิจารณา Spaces (Object Storage) เมื่อ:

    • ต้องการจัดเก็บไฟล์ static เช่น รูปภาพ, วิดีโอ, เอกสาร
    • ต้องการเข้าถึงไฟล์ผ่าน HTTP/HTTPS
    • ต้องการ CDN สำหรับการส่งมอบคอนเทนต์
    • ไม่ต้องการระบบไฟล์แบบดั้งเดิม
    • ต้องการเข้าถึงจากหลาย Droplets หรือจากภายนอก
  2. ควรพิจารณา Local Storage (Droplet) เมื่อ:

    • ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
    • มีข้อมูลขนาดเล็กที่ไม่ต้องการแยกออกจาก Droplet
    • ต้องการความเรียบง่ายในการตั้งค่า
    • ไม่ต้องการย้ายข้อมูลระหว่าง Droplets
    • งบประมาณจำกัดสำหรับบริการเพิ่มเติม
  3. ควรพิจารณาบริการ Block Storage จากผู้ให้บริการอื่น เมื่อ:

    • ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงเช่น multi-attach, encryption, replication
    • ต้องการประสิทธิภาพที่สูงกว่า
    • ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับขนาด (เพิ่มและลด)
    • ต้องการ IOPS ที่สูงกว่าหรือสามารถปรับแต่งได้
    • มีความต้องการเฉพาะทางที่ Digital Ocean Volumes ไม่รองรับ

การใช้งานแบบ Hybrid

  1. การใช้ Volumes ร่วมกับ Spaces:

    • ใช้ Volumes สำหรับฐานข้อมูลและไฟล์ระบบ
    • ใช้ Spaces สำหรับไฟล์ static และไฟล์ที่เข้าถึงจากภายนอก
    • สร้าง scripts สำหรับการย้ายข้อมูลระหว่าง Volumes และ Spaces
    • ใช้ Spaces สำหรับการสำรองข้อมูลระยะยาว
    • ใช้ Volumes สำหรับการประมวลผลข้อมูลก่อนอัปโหลดไปยัง Spaces
  2. การใช้ Volumes ร่วมกับ Local Storage:

    • ใช้ Local Storage สำหรับระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน
    • ใช้ Volumes สำหรับข้อมูลที่ต้องการความทนทานและการขยาย
    • ใช้ Local Storage สำหรับ cache และข้อมูลชั่วคราว
    • ใช้ Volumes สำหรับข้อมูลที่ต้องย้ายระหว่าง Droplets
    • สร้างระบบการสำรองข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งสองประเภท
  3. การใช้ Multi-cloud Strategy:

    • ใช้ Digital Ocean Volumes สำหรับการใช้งานทั่วไป
    • ใช้ AWS EBS หรือ Google Persistent Disk สำหรับความต้องการเฉพาะทาง
    • ใช้ tools เช่น rclone สำหรับการซิงค์ข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการ
    • สร้างระบบการสำรองข้อมูลที่ครอบคลุมหลายผู้ให้บริการ
    • พิจารณาค่าใช้จ่ายในการโอนข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการ

10. สรุป: ทำไม Volumes ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น

  1. ความยืดหยุ่น
    เพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ตามต้องการ ติดตั้งและถอดออกจาก Droplets ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ธุรกิจเริ่มต้นสามารถปรับตัวตามการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

  2. ราคาที่คาดเดาได้
    โครงสร้างราคาที่ชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง ช่วยให้ธุรกิจเริ่มต้นสามารถวางแผนงบประมาณได้อย่างแม่นยำ

  3. ความทนทานสูง
    ข้อมูลถูกเก็บแบบ redundant เพื่อป้องกันการสูญหาย ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูลสำคัญ

  4. ประสิทธิภาพ
    ใช้ SSD ทั้งหมดเพื่อความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูล ช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

  5. การบูรณาการ
    ทำงานร่วมกับบริการอื่นๆ ของ Digital Ocean ได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้สร้างระบบที่สมบูรณ์ได้ง่าย

“Digital Ocean Volumes เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจเริ่มต้นที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่ยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และราคาที่คาดเดาได้ ด้วยความสามารถในการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ SSD ให้กับ Droplets ได้อย่างง่ายดาย Volumes ช่วยให้ธุรกิจเริ่มต้นสามารถรองรับการเติบโตของข้อมูลได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดด้านพื้นที่จัดเก็บหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ”


11. แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม

เอกสารและบทความ:

คอมมูนิตี้:

เครื่องมือและทรัพยากร:

เคล็ดลับ: Digital Ocean มีโปรแกรม “Hatch” สำหรับ startups ที่ให้เครดิตมูลค่าสูงถึง $100,000 เพื่อใช้บริการ Digital Ocean เป็นเวลา 12 เดือน ซึ่งรวมถึงการใช้งาน Volumes ด้วย ตรวจสอบคุณสมบัติและสมัครได้ที่ digitalocean.com/hatch