Cloudflare Zero Trust: ปกป้องแอปพลิเคชันและทรัพยากรของคุณโดยไม่ต้องใช้ VPN

Cloudflare Zero Trust

Cloudflare Zero Trust — Photo by Towfiqu barbhuiya on Unsplash

Cloudflare Zero Trust: ปกป้องแอปพลิเคชันและทรัพยากรของคุณโดยไม่ต้องใช้ VPN

ความปลอดภัยระดับองค์กรสำหรับ Startup และธุรกิจขนาดเล็ก


1. ทำไม Zero Trust ถึงสำคัญในยุคการทำงานแบบ Remote

  • ความท้าทายของการทำงานระยะไกล: การทำงานจากทุกที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ แต่มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • ข้อจำกัดของ VPN แบบดั้งเดิม:
    • ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี (ช้า, ซับซ้อน)
    • ต้นทุนสูงในการติดตั้งและบำรุงรักษา
    • ให้สิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายมากเกินไป (“ถ้าคุณอยู่ในเครือข่าย คุณได้รับความไว้วางใจ”)
  • แนวคิด Zero Trust:
    • “ไม่เชื่อใจใครโดยค่าเริ่มต้น” แม้แต่ผู้ใช้ภายในเครือข่าย
    • ตรวจสอบทุกการเข้าถึงตามบริบท (ใคร, อะไร, ที่ไหน, เมื่อไร, อย่างไร)
    • ให้สิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะทรัพยากรที่จำเป็นเท่านั้น

2. Cloudflare Zero Trust คืออะไร?

นิยามและการทำงาน

  • นิยาม: Cloudflare Zero Trust คือชุดบริการความปลอดภัยที่ช่วยให้องค์กรปกป้องแอปพลิเคชัน เครือข่าย และผู้ใช้โดยไม่ต้องพึ่งพา VPN แบบดั้งเดิม
  • การทำงาน:
    • ตรวจสอบตัวตนผู้ใช้ก่อนให้สิทธิ์เข้าถึงทรัพยากร
    • ประเมินความเสี่ยงของอุปกรณ์และการเชื่อมต่อ
    • ให้สิทธิ์การเข้าถึงแบบละเอียด (granular) ตามนโยบายที่กำหนด
    • ส่งทราฟฟิกผ่านเครือข่ายของ Cloudflare เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

องค์ประกอบหลักของ Cloudflare Zero Trust

  • Access: ควบคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชันภายในและ SaaS
  • Gateway: ป้องกันภัยคุกคามและกรองเนื้อหาบนเว็บ
  • WARP Client: ไคลเอนต์สำหรับเชื่อมต่อกับ Cloudflare Network
  • Browser Isolation: แยกการท่องเว็บออกจากอุปกรณ์ของผู้ใช้
  • Device Posture: ตรวจสอบสถานะความปลอดภัยของอุปกรณ์

แผนฟรีของ Cloudflare Zero Trust

  • จำนวนผู้ใช้: ไม่จำกัด
  • แอปพลิเคชัน: สูงสุด 50 แอปพลิเคชัน
  • นโยบาย: ไม่จำกัดจำนวนนโยบาย
  • การยืนยันตัวตน: รองรับ One-time PIN และ Social Login
  • การเชื่อมต่อ: WARP Connector สำหรับเชื่อมต่อกับทรัพยากรภายใน

3. เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น

Cloudflare Zero Trust vs VPN แบบดั้งเดิม

คุณสมบัติ Cloudflare Zero Trust VPN แบบดั้งเดิม
ราคา ฟรี (มีแผนพรีเมียม) มักมีค่าใช้จ่ายสูง
การติดตั้ง ง่าย ไม่ต้องมีฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม ซับซ้อน ต้องการฮาร์ดแวร์เฉพาะ
ประสิทธิภาพ เร็ว (ใช้เครือข่าย Cloudflare) มักช้าเนื่องจากต้องส่งทราฟฟิกผ่านศูนย์กลาง
การเข้าถึง ละเอียด (ระดับแอปพลิเคชัน) หยาบ (ระดับเครือข่าย)
ความปลอดภัย สูง (Zero Trust Model) ปานกลาง (Trust Network Model)
การบำรุงรักษา น้อย (บริการบนคลาวด์) สูง (ต้องอัพเดทและดูแลเซิร์ฟเวอร์)

Cloudflare Zero Trust vs ทางเลือกอื่น

คุณสมบัติ Cloudflare Zero Trust Zscaler Perimeter 81
แผนฟรี มี (จำกัดฟีเจอร์) ไม่มี ไม่มี
ราคาเริ่มต้น $5/ผู้ใช้/เดือน (แผนพรีเมียม) $150/ผู้ใช้/ปี $8/ผู้ใช้/เดือน
จุดเด่น เครือข่ายทั่วโลก, ง่ายต่อการใช้งาน ฟีเจอร์ Enterprise ครบครัน ใช้งานง่าย, UI ที่ดี
ข้อจำกัด ฟีเจอร์บางอย่างต้องใช้แผนพรีเมียม ราคาสูง, เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ เครือข่ายเล็กกว่า
เหมาะกับ Startup และ SMB Enterprise SMB

4. การเริ่มต้นใช้งาน Cloudflare Zero Trust

ขั้นตอนการสมัครและตั้งค่าเบื้องต้น

  1. สร้างบัญชี Cloudflare

    • ไปที่ cloudflare.com และสมัครบัญชีฟรี (หากยังไม่มี)
    • ล็อกอินเข้าสู่ Dashboard
  2. เปิดใช้งาน Zero Trust

    • ไปที่ Cloudflare Dashboard > Zero Trust
    • คลิก “Set up Zero Trust”
    • เลือกชื่อทีมและโซนที่ใกล้ที่สุด
    • เลือกแผนฟรี (Free)
  3. ตั้งค่าการยืนยันตัวตน (Identity)

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Settings > Authentication
    • เลือกวิธีการยืนยันตัวตน:
      • One-time PIN (ส่งรหัสผ่านอีเมล)
      • Social Login (Google, GitHub, ฯลฯ)
  4. ติดตั้ง WARP Client

    • ดาวน์โหลด WARP Client สำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน
    • ติดตั้งและล็อกอินด้วยอีเมลที่ลงทะเบียนไว้
    • ทำตามขั้นตอนการตั้งค่าในแอปพลิเคชัน

การปกป้องแอปพลิเคชันเว็บภายใน

  1. เพิ่มแอปพลิเคชัน

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Access > Applications
    • คลิก “Add an application”
    • เลือก “Self-hosted”
    • กรอกชื่อแอปพลิเคชันและ URL (เช่น internal-app.company.com)
  2. ตั้งค่านโยบายการเข้าถึง

    • กำหนดว่าใครสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้บ้าง
    • ตัวอย่างนโยบาย:
      • อนุญาตเฉพาะอีเมลในโดเมนบริษัท
      • อนุญาตเฉพาะสมาชิกในทีมเฉพาะ
      • อนุญาตเฉพาะอุปกรณ์ที่มีการตั้งค่าความปลอดภัยที่เหมาะสม
  3. ตั้งค่า DNS

    • หากแอปพลิเคชันอยู่ในเครือข่ายส่วนตัว ให้ตั้งค่า CNAME Record ชี้ไปที่ Cloudflare
    • หรือใช้ Cloudflare Tunnel เพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชันโดยไม่ต้องเปิด Port
  4. ทดสอบการเข้าถึง

    • เข้าสู่ URL ของแอปพลิเคชัน
    • ระบบจะขอให้ยืนยันตัวตนตามวิธีที่ตั้งค่าไว้
    • หลังจากยืนยันตัวตนสำเร็จ จะสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้

5. การใช้งาน Cloudflare Tunnel

Cloudflare Tunnel คืออะไร?

  • นิยาม: บริการที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์หรือแอปพลิเคชันภายในกับ Cloudflare โดยไม่ต้องเปิด Port หรือมี Public IP
  • ประโยชน์:
    • ไม่ต้องเปิด Firewall หรือ Port 80/443
    • ป้องกันการโจมตีโดยตรงไปยังเซิร์ฟเวอร์
    • ง่ายต่อการตั้งค่าและบำรุงรักษา
    • ทำงานได้แม้อยู่หลัง NAT หรือ CGNAT

การตั้งค่า Cloudflare Tunnel

  1. ติดตั้ง cloudflared

    # สำหรับ Linux
    wget -q https://github.com/cloudflare/cloudflared/releases/latest/download/cloudflared-linux-amd64.deb
    dpkg -i cloudflared-linux-amd64.deb
    
    # สำหรับ macOS
    brew install cloudflare/cloudflare/cloudflared
    
    # สำหรับ Windows
    # ดาวน์โหลดจาก https://github.com/cloudflare/cloudflared/releases
    
  2. สร้าง Tunnel

    # ล็อกอินเข้าสู่ Cloudflare
    cloudflared tunnel login
    
    # สร้าง Tunnel ใหม่
    cloudflared tunnel create my-tunnel
    
    # สร้างไฟล์ config.yml
    cat > config.yml << EOF
    tunnel: <YOUR_TUNNEL_ID>
    credentials-file: /path/to/credentials.json
    
    ingress:
      - hostname: app.yourdomain.com
        service: http://localhost:8000
      - service: http_status:404
    EOF
    
  3. เริ่มใช้งาน Tunnel

    cloudflared tunnel run my-tunnel
    
  4. ตั้งค่า DNS

    cloudflared tunnel route dns my-tunnel app.yourdomain.com
    

การใช้ Tunnel กับ Zero Trust Access

  1. เชื่อมต่อ Tunnel กับ Access

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Access > Applications
    • เลือกแอปพลิเคชันที่สร้างไว้
    • เลือก Tunnel ที่ต้องการใช้เป็น Origin
  2. ตั้งค่านโยบายความปลอดภัยเพิ่มเติม

    • กำหนดเงื่อนไขการเข้าถึงที่เข้มงวดขึ้น
    • เพิ่มการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (MFA)
    • จำกัดช่วงเวลาการเข้าถึง

6. การปกป้อง SaaS และแอปพลิเคชันคลาวด์

การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน SaaS

  1. เพิ่มแอปพลิเคชัน SaaS

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Access > Applications
    • คลิก “Add an application”
    • เลือก “SaaS”
    • เลือกแอปพลิเคชันจากรายการ (เช่น GitHub, Slack, Microsoft 365)
  2. ตั้งค่า SAML หรือ OAuth

    • ทำตามคำแนะนำในการตั้งค่า SAML หรือ OAuth สำหรับแอปพลิเคชันที่เลือก
    • คัดลอก Metadata URL หรือ Certificate ไปยังการตั้งค่าของแอปพลิเคชัน SaaS
  3. กำหนดนโยบายการเข้าถึง

    • ตั้งค่าว่าใครสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชัน SaaS ได้บ้าง
    • กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ต้องใช้อุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ หรือต้องอยู่ในตำแหน่งที่กำหนด

การปกป้องแอปพลิเคชันบน Public Cloud

  1. เพิ่มแอปพลิเคชันบน Cloud

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Access > Applications
    • คลิก “Add an application”
    • เลือก “Self-hosted”
    • กรอก URL ของแอปพลิเคชันบน Cloud (เช่น AWS, GCP, Azure)
  2. ตั้งค่า Cloudflare Access

    • กำหนดนโยบายการเข้าถึงสำหรับแอปพลิเคชัน
    • เลือกวิธีการยืนยันตัวตนที่เหมาะสม
  3. ปรับแต่งการตั้งค่าความปลอดภัย

    • เพิ่ม Session Duration ที่เหมาะสม
    • ตั้งค่า Auto-redirect เพื่อให้ผู้ใช้ถูกนำไปยังหน้ายืนยันตัวตนโดยอัตโนมัติ
    • เปิดใช้งาน Browser Rendering Isolation สำหรับแอปพลิเคชันที่มีความเสี่ยงสูง

7. การใช้งาน Gateway เพื่อปกป้องการท่องเว็บ

Gateway คืออะไร?

  • นิยาม: บริการกรองเนื้อหาและป้องกันภัยคุกคามบนเว็บ
  • การทำงาน: ตรวจสอบและกรองทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้
  • ประโยชน์:
    • บล็อกเว็บไซต์อันตรายหรือไม่เหมาะสม
    • ป้องกันมัลแวร์และฟิชชิ่ง
    • ควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชันและบริการออนไลน์
    • ตรวจจับและบล็อกการรั่วไหลของข้อมูล

การตั้งค่า Gateway

  1. เปิดใช้งาน Gateway

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Gateway
    • คลิก “Set up Gateway”
    • เลือกวิธีการเชื่อมต่อ (WARP Client หรือ DNS)
  2. สร้างนโยบายการกรอง

    • ไปที่ Gateway > Policies
    • คลิก “Create a policy”
    • เลือกประเภทนโยบาย:
      • HTTP: กรองเนื้อหาเว็บไซต์
      • DNS: บล็อกโดเมนอันตราย
      • Network: ควบคุมการเข้าถึงเครือข่าย
  3. กำหนดกฎการกรอง

    • ตัวอย่างกฎ HTTP:
      • บล็อกเว็บไซต์ในหมวดหมู่ “Gambling” และ “Adult Content”
      • บล็อกไฟล์ดาวน์โหลดที่มีความเสี่ยง
    • ตัวอย่างกฎ DNS:
      • บล็อกโดเมนที่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์
      • บล็อกโดเมนที่ใช้สำหรับโฆษณา
  4. ติดตั้ง WARP Client บนอุปกรณ์ผู้ใช้

    • ดาวน์โหลดและติดตั้ง WARP Client
    • ล็อกอินด้วยอีเมลที่ลงทะเบียนไว้
    • เปิดใช้งานโหมด Gateway

การติดตามและวิเคราะห์การใช้งาน

  • การดูรายงาน:

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Gateway > Analytics
    • ดูข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของทีม
    • ตรวจสอบการพยายามเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อก
  • การปรับแต่งนโยบาย:

    • วิเคราะห์ข้อมูลจากรายงาน
    • ปรับนโยบายให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานจริง
    • เพิ่มหรือลดความเข้มงวดตามความเหมาะสม

8. การใช้งาน Device Posture

Device Posture คืออะไร?

  • นิยาม: การตรวจสอบสถานะความปลอดภัยของอุปกรณ์ก่อนอนุญาตให้เข้าถึงทรัพยากร
  • ประโยชน์:
    • ป้องกันการเข้าถึงจากอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัย
    • บังคับใช้นโยบายความปลอดภัยขององค์กร
    • ลดความเสี่ยงจากอุปกรณ์ส่วนตัวที่ไม่ได้จัดการโดยองค์กร

การตั้งค่า Device Posture

  1. สร้าง Device Posture Check

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Settings > Devices > Device posture
    • คลิก “Add new”
    • เลือกประเภทการตรวจสอบ:
      • OS Version: ตรวจสอบเวอร์ชันระบบปฏิบัติการ
      • Disk Encryption: ตรวจสอบการเข้ารหัสดิสก์
      • Firewall: ตรวจสอบสถานะไฟร์วอลล์
      • Anti-virus: ตรวจสอบซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส
  2. เชื่อมโยงกับนโยบายการเข้าถึง

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Access > Applications
    • เลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการกำหนดนโยบาย
    • เพิ่มเงื่อนไข Device Posture ในนโยบายการเข้าถึง
  3. ทดสอบการทำงาน

    • ทดลองเข้าถึงแอปพลิเคชันจากอุปกรณ์ที่ตรงตามเงื่อนไข
    • ทดลองเข้าถึงจากอุปกรณ์ที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข (ควรถูกปฏิเสธ)

ตัวอย่างการใช้งานจริง

  • สำหรับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง:

    • ต้องมีการเข้ารหัสดิสก์
    • ต้องมีรหัสผ่านหรือ PIN ล็อคหน้าจอ
    • ต้องมีซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่อัพเดทล่าสุด
  • สำหรับแอปพลิเคชันทั่วไป:

    • ต้องมีระบบปฏิบัติการเวอร์ชันที่รองรับ
    • ต้องเปิดใช้งานไฟร์วอลล์
    • ต้องไม่ใช่อุปกรณ์ที่ root หรือ jailbreak

9. กรณีศึกษา: การใช้งานจริงของ Startup

กรณีศึกษา 1: บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก

  • ความท้าทาย: ทีมพัฒนา 15 คนทำงานจากระยะไกล ต้องการเข้าถึงระบบภายในอย่างปลอดภัย
  • การใช้งาน Zero Trust:
    • ปกป้อง GitHub Enterprise, Jira และ internal tools
    • ใช้ Cloudflare Tunnel เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์พัฒนา
    • ตั้งค่านโยบายให้เข้าถึงได้เฉพาะจากอุปกรณ์ที่มีการเข้ารหัสดิสก์
  • ผลลัพธ์:
    • ลดเวลาในการตั้งค่า VPN และแก้ไขปัญหาลง 90%
    • เพิ่มความปลอดภัยโดยจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาต
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อและบำรุงรักษาอุปกรณ์ VPN

กรณีศึกษา 2: บริษัท E-commerce

  • ความท้าทาย: ต้องการปกป้องระบบจัดการสินค้าและข้อมูลลูกค้า
  • การใช้งาน Zero Trust:
    • ปกป้องระบบ Admin Panel และ Dashboard
    • ใช้ Gateway กรองทราฟฟิกและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
    • ตั้งค่า Device Posture เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์
  • ผลลัพธ์:
    • ป้องกันการโจมตีได้มากกว่า 500 ครั้งต่อเดือน
    • ลดความเสี่ยงจากการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวของพนักงาน
    • เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล

กรณีศึกษา 3: บริษัทที่ปรึกษา

  • ความท้าทาย: ที่ปรึกษาต้องเข้าถึงข้อมูลลูกค้าจากหลายสถานที่
  • การใช้งาน Zero Trust:
    • ปกป้องแอปพลิเคชัน SaaS ที่ใช้เก็บข้อมูลลูกค้า
    • ใช้ Browser Isolation เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
    • ตั้งค่านโยบายตามตำแหน่งและเวลาทำงาน
  • ผลลัพธ์:
    • ที่ปรึกษาสามารถทำงานได้จากทุกที่อย่างปลอดภัย
    • ลดความเสี่ยงจากการใช้เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ
    • ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของลูกค้าได้ดีขึ้น

10. เทคนิคขั้นสูงและแนวปฏิบัติที่ดี

การตั้งค่า Multi-Factor Authentication (MFA)

  • วิธีการเพิ่ม MFA:

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Settings > Authentication
    • เลือก “Add provider” และเลือก MFA provider
    • ตั้งค่าตามคำแนะนำของ provider ที่เลือก
  • ตัวอย่าง MFA ที่แนะนำ:

    • Time-based One-Time Password (TOTP)
    • WebAuthn/FIDO2 Security Keys
    • Push notifications ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ

การจัดการผู้ใช้และกลุ่ม

  • การสร้างกลุ่มผู้ใช้:

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Settings > Users
    • คลิก “Create group”
    • กำหนดชื่อกลุ่มและเงื่อนไขการเป็นสมาชิก
  • การใช้กลุ่มในนโยบาย:

    • สร้างนโยบายที่อนุญาตหรือปฏิเสธตามกลุ่ม
    • ตัวอย่าง: อนุญาตให้กลุ่ม “Developers” เข้าถึง GitHub และ Jira

การตรวจสอบและการแจ้งเตือน

  • การตั้งค่าการแจ้งเตือน:

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Settings > Notifications
    • เลือกเหตุการณ์ที่ต้องการรับการแจ้งเตือน
    • กำหนดช่องทางการแจ้งเตือน (อีเมล, Webhook)
  • การตรวจสอบกิจกรรม:

    • ไปที่ Zero Trust Dashboard > Logs
    • กรองตามประเภทกิจกรรม, ผู้ใช้, หรือแอปพลิเคชัน
    • ตั้งค่าการส่งล็อกไปยังระบบ SIEM ภายนอก (ในแผนพรีเมียม)

11. ข้อจำกัดของแผนฟรีและเมื่อไรควรอัพเกรด

ข้อจำกัดของแผนฟรี

  • จำนวนแอปพลิเคชัน: จำกัดที่ 50 แอปพลิเคชัน
  • การยืนยันตัวตน: รองรับเฉพาะ One-time PIN และ Social Login
  • Device Posture: มีการตรวจสอบพื้นฐานเท่านั้น
  • การวิเคราะห์: เก็บข้อมูลย้อนหลังจำกัด
  • Support: มีเฉพาะ Community Support
  • Browser Isolation: ไม่รวมในแผนฟรี

สัญญาณที่ควรพิจารณาอัพเกรด

  1. ความปลอดภัย:

    • ต้องการ MFA ที่หลากหลายและปลอดภัยมากขึ้น
    • ต้องการ Device Posture ขั้นสูง
    • ต้องการ Browser Isolation
  2. การจัดการ:

    • มีแอปพลิเคชันมากกว่า 50 รายการ
    • ต้องการ Support แบบ Priority
    • ต้องการการวิเคราะห์และรายงานที่ละเอียดมากขึ้น
  3. การปฏิบัติตามข้อกำหนด:

    • ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยเฉพาะอุตสาหกรรม
    • ต้องการการตรวจสอบและรายงานที่ครอบคลุม
    • ต้องการการรับรองการปฏิบัติตามข้อกำหนด

แผนที่แนะนำเมื่ออัพเกรด

  • Teams Standard ($5/ผู้ใช้/เดือน):

    • เหมาะสำหรับทีมขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม
    • รวม MFA ขั้นสูง, Device Posture เพิ่มเติม, และ Support แบบ Standard
  • Teams Enterprise ($7/ผู้ใช้/เดือน):

    • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด
    • รวม Browser Isolation, SIEM Integration, และ Support แบบ Priority

12. สรุป: ประโยชน์ของ Cloudflare Zero Trust สำหรับ Startup

  1. ประหยัดต้นทุน
    ไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ VPN และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

  2. เพิ่มความปลอดภัย
    ใช้โมเดล Zero Trust ที่ปลอดภัยกว่า VPN แบบดั้งเดิม

  3. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
    ทีมสามารถทำงานจากทุกที่ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย

  4. ลดภาระการจัดการ
    ระบบอัตโนมัติและการจัดการบนคลาวด์ช่วยลดภาระของทีม IT

  5. เติบโตได้ตามต้องการ
    เริ่มต้นด้วยแผนฟรี และอัพเกรดเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

“Cloudflare Zero Trust เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับ Startup ที่ต้องการความปลอดภัยระดับองค์กรโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานราคาแพง ช่วยให้ทีมทำงานได้จากทุกที่อย่างปลอดภัย”


13. แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม

เอกสารและบทความ:

คอมมูนิตี้:

คอร์สและวิดีโอ:

เคล็ดลับ: Cloudflare มีการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับ Zero Trust อยู่เสมอ ติดตาม Cloudflare Blog และ Twitter เพื่อไม่พลาดฟีเจอร์ล่าสุดที่อาจช่วยให้การรักษาความปลอดภัยของคุณดียิ่งขึ้น